รีวิวเที่ยว Yufuin | 2 วัน 1 คืน

Yufuin เมืองกลางหุบเขาแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่ทำให้เราตกหลุมรักตั้งแต่ยังไม่รู้จัก

ย้อนกลับไปก่อนช่วงโควิด เรารู้จัก Yufuin (ยูฟุอิน) ผ่านภาพถ่ายเป็นแพล็ตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียค่ายหนึ่ง ภาพนั้นคือภาพที่ทุกคนเห็นอยู่นี่ล่ะค่ะ เราเป็นมนุษย์ที่ชอบฉากหลังของเมืองไหนก็แล้วแต่ที่มีภูเขาเป็นฉาก เราจะกรี๊ดไว้ก่อนนน คือคนมันชอบไงงง แล้วเราก็เลยโดนยูฟุอินตกอย่างแรง เพราะภาพวิวถนนที่ทอดยาวแล้วสุดปลายทางนั้นมีภูเขาลูกใหญ่เป็นฉากหลัง เราจำได้ว่าเราเอาภาพนั้นมาค้นหาต่อว่า ที่นี่คือที่ไหน แล้วก็ได้คำตอบว่าที่นี่คือ Yufuin เมืองหนึ่งในภูมิภาค Kyushu ประเทศญี่ปุ่น

Yufuin

Yufuin เมืองเล็กๆในจังหวัด Oita ภูมิภาค kyushu เมืองนี้เป็นอีกหนึ่งเมืองยอดฮิตของคนที่จะมาเที่ยวคิวชู หรือ ฟุกุโอกะเลยก็ว่าได้ เพราะเราก็เป็นหนึ่งในนั้น จุดเด่นของเมืองนี้คือ ความน่ารักที่เหมือนเราได้หลุดเข้าไปอยู่ในฉากการ์ตูนของ Ghibli Studio นักท่องเที่ยวคนไทย ส่วนไหนจะมาเที่ยวเมืองนี้แบบเช้าเย็นกลับ แต่ทริปนี้เราจะพาทุกคนไปนอนค้างที่นี่กัน

การเดินทางจาก Hakata มา Yufuin

ทริปนี้เราเดินทางคนเดียวนะคะ วิธีเดินทางสะดวกที่สุดก็คือการใช้รถไฟ แต่ใครไปหลายคนอาจจะเช่ารถก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะคะ ได้เที่ยวหลายเมืองด้วย

การเดินทางด้วยรถไฟทางจาก Hakata ไปยัง Yufuin ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยเราขอแบ่งออกเป็น 2 วิธี และการเดินทางครั้งนี้เราสามารถใช้ JR Rail Pass, JR Kyushu, JR Northern Kyushu Pass

เราสามารถเช็ครอบเวลารถไฟได้จาก App : JapanTravel

วิธีที่ 1 : การเดินทางด้วยรถไฟเที่ยวพิเศษ Yufuin No Mori

ไว้เราจะมารีวิวรถไฟขบวน Yufuin No Mori แบบเต็มๆกันอีกรอบนะคะ

วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟอะไรก็ได้จาก Hakata ไปยัง Yufuin

จริงๆ การเดินทางด้วยรถไฟจาก Hakata นั้นมีหลากหลายขบวนมากๆ ถ้าใครไม่ซีเรียสว่าจะต้องไปกลับด้วยรถไฟขบวนพิเศษเท่านั้น เราก็สามารถหารถไฟไปได้เยอะเลยค่ะ

จริงๆแล้วทริปนี้เราไม่ได้เดินทางมาจาก Hakata แต่เราจะเดินทางจาก Beppu เพราะช่วงกลางวันของวันนี้เราหนีเที่ยวเบปปุแบบวันเดย์ทริปมาค่ะ ใครอยากอ่านรีวิวเที่ยวเบปปุแบบวันเดย์ทริปสามารถอ่านได้ที่ >> https://bit.ly/3qDo8P4

ใครมาเที่ยวเบปปุแล้วอยากมาต่อที่ Yufuin จะใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมง เราแปะตัวอย่างรถไฟไว้ให้นะคะ

ที่พักใน Yufuin

ก่อนเราจะหนีเที่ยวทริปคิวชูที่ผ่านมา ช่วงที่เราหาที่พักในยูฟุอิน บอกเลยว่าไม่ง่าย เพราะห้องราคาแรงมากกก และเราเคยอ่านรีวิว มีคนเคยเตือนว่าถ้าจะหาที่พักควรดูดีๆว่ามันใกล้จากสถานีรถไฟมั้ย เพราะว่าถ้าไกล เราจะต้องให้โรงแรมมาคอยรับส่งเมื่อจะมาเที่ยวโซนฮิต

สุดท้ายเราก็เลยไปปรึกษาเพื่อนที่เคยป้ายยาเราเรื่องยูฟุอิน แล้วก็ได้ที่พักราคาไม่แรงมากนัก เดินจากสถานีรถไฟได้ประมาณ 10 นาที ที่พักแห่งนี้ชื่อว่า Yufuin Assi

Yufuin Assi ที่พักกึ่งโฮมสเตย์ในยูฟุอินที่น่ารักมากกกก

เราจองที่นี่มาในราคา 2200/คืน ราคานี้เป็นราคาคนเดียวนะคะ แต่ห้องที่เราจองไปเป็นห้องแบบ 3 เตียง ซึ่งในห้องก็ไม่มีคนอื่นนะคะ สรุปง่ายๆคือเราได้ห้องใหญ่มีเตียง 3 เตียงแต่เราอยู่คนเดียว และสิ่งที่ทุกคนควรรู้คือ ห้องพักที่นี่ เราจะต้องใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำแบบแชร์กับคนอื่น แต่ที่ว้าวมากคือมีออนเซ็นให้เราแช่ด้วย และใครเป็นทาสแมวเราแนะนำเลย เพราะ Assi ที่เป็นชื่อที่พักก็คือชื่อของเจ้าแมวส้ม เจ้าของบ้านตัวจริง

สุดท้ายเราแนะนำที่นี่นะคะ เป็นที่พักน่ารัก อบอุ่น คุณป้าเจ้าของบ้านน่ารักมาก

วิธีการเดินทาง : เราจะสามารถเดินเท้าตาม google maps ประมาณ 10 นาทีจากสถานีรถไฟยูฟุอิน

Yufuin | ยินดีที่ได้รู้จัก

ความเดิมจากตอนที่แล้ว >> https://bit.ly/3qDo8P4 เราไปเที่ยวเบปปุแบบวันเดย์ทริปมาค่ะ ตอนเย็นเราเดินทางจากเบปปุมายังยูฟุอิน ใช้เวลาประมาณ 60 นาทีก็มาถึง และวันนี้เป็นวันที่ฝนตกตลอดทั้งวัน

เรามาถึงสถานีรถไฟยูฟุอินประมาณช่วง 6 โมงเย็น สิ่งที่ตื่นเต้นมากที่สุด และที่เราอยากเห็นมากที่สุดก็คือ วิวหน้าสถานีรถไฟยุฟุอิน วิวที่ทำให้เราอยากมายูฟุอินที่สุด

หน้าสถานีรถไฟยูฟุอินในช่วง 6 โมงเย็น เป็นช่วงเวลาที่เงียบเหงา เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเที่ยวที่นี่แบบเช้าเย็นกลับ และแล้วเราก็ต้องใจเต้นรัวๆ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ดีใจ แต่เพราะเมื่อออกมาหน้าสถานีแล้ว เราไม่เห็นภูเขาเลยย เมฆบังหมดเลย ในหัวเริ่มคิดว่าถ้าพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เห็นละ หรือจะอยู่ยุฟุอินต่อดีมั้ย หรือเราจะกลับมาใหม่ดี แต่จะได้กลับมาเมื่อไหร่อีก

ความคิดในหัวเราเลยจินตนาการไปไกลตามประสาคนเนิร์ดเรื่องเที่ยว แต่สุดท้ายเราก็ต้องสลัดความคิดทิ้งไปแล้วดูแผนที่บนมือถือหาทางไปที่พักที่จองไว้ในคืนนี้แทน เพราะตอนนี้ต่อให้กังวลเรื่องวันพรุ่งนี้ ยังไงเราก็ไม่สามารถรู้ได้ในวินาทีนี้ แต่ที่เรารู้ได้แน่ๆตอนนี้คือ กระเป๋าเราเปียกหมดแล้ววว รีบเดินเถอะลิเดีย !!

หลังจากที่เราเช็คอิน เอากระเป๋าไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ท้องก็หิว เลยเดินกลับมาแถวสถานีรถไฟอีกรอบ หาอะไรกินหน่อย และสุดท้ายก่อนกลับก็ตั้งใจว่าจะแวะเซเว่นซื้อขนมกลับไปกินที่ที่พักด้วย

ในวันนั้นยังมีร้านที่เปิดอยู่น้อยมาก เราเลยไปกินข้าวหน้าเนื้อ แต่ไม่ใช่ร้านดังที่ใครๆแนะนำนะ เพราะร้านดังปิด ตอนนี้ร้านไหนก็ได้แล้วสำหรับเราเพราะทั้งหิวและหนาวเพราะฝนตกไม่หยุดเลย

หลังกินอิ่มเรากลับมาแช่ออนเซ็น นอนฟังเสียงฝน ที่พักอบอุ่นมากกจริงๆนะ คุณป้าน่ารักเอาชุดนอนมาให้ และเจ้าชุดนอนนี้ก็อุ่นมากกก ถ้ากลับไปยูฟุอิน อีกครั้งเราก็ยังเลือกพักที่นี่

ตอนเช้าเราตื่นมาพร้อมกับเสียงฝนที่ยังอยู่ เมื่อคืนหลับสบายมาก เราลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว ตั้งใจว่าจะออกจากที่พักก่อน 9 โมง เพราะเราอยากไปถ่ายรูปที่สถานีรถไฟยุฟุอิน ลุ้นว่าเราจะได้เจอภูเขามั้ย และถ้าเราไปถึงสถานีก่อน 9 โมง นักท่องเที่ยวก็จะน้อยมากด้วย

เราบอกลาที่พัก เจ้าแมวส้ม และกล่าวขอบคุณคุณป้าสำหรับที่พักที่อบอุ่น เช้านี้อากาศเย็นๆ และสีเขียวสดชื่นก็ปกคลุมไปทั่วยูฟุอินเลยค่ะ

ก่อนจะเที่ยวเราต้องหาที่ฝากกระเป๋าก่อน จริงๆแล้วในยุฟุอินมีที่ฝากกระเป๋าเยอะมากเลยนะคะ แต่ใครที่จะฝากที่สถานีรถไฟ ล็อกเกอร์จะมีน้อยหน่อย ถ้าเต็มให้เรามองหาป้ายฝากกระเป๋าใกล้ๆสถานีเลยค่ะ หาไม่ยาก

และในที่สุดดดด วันนี้เราก็ได้เจอภูเขาแล้ว แม้จะมีเมฆหมอกบังบางส่วนอยู่ แต่อย่างน้อยเราก็ได้เจอวิวที่เราอยากเห็นที่สุดในยุฟุอินแล้ว

หลังจากฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเราแวะไปเซเว่นมาค่ะ เพราะว่าเราขอเริ่มต้นวันด้วยกาแฟจากเซเว่นแล้วกัน รสชาติดี ราคาน่ารัก และไม่ต้องเดินหาไกล (จริงๆเราหาคาเฟ่อื่นไม่เจอแหละ)

ต่อจากนี้เราจะขออาสาพาทุกคนหนีเที่ยวไปชมไฮไลท์ที่เที่ยวในยุฟุอินกันค่ะ ใครกำลังจะเดินทางเก็บข้อมูลเป็นไกด์ไลน์ไว้ได้เลยน้า

สถานีรถไฟ Yufuin

หากใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็น่าจะพอรู้แล้วว่าหน้าสถานีรถไฟยูฟุอินนั้นวิวสวย และเราถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถ่ายรูปสวยมากเช่นกัน หากใครมีเวลามานั่งรถในสถานียุฟุอิน ก็จะได้ถ่ายรูปรถไฟสวยๆกลับไปเยอะเลยค่ะ

ระหว่างทางใน Yufuin

ระหว่างทางในยูฟุอิน เหมือนเราได้หลุดเข้าไปอยู่ในการ์ตูนของ Ghibli Studio เลยนะ เราเดินเล่นไปยิ้มไปตลอดทาง มันเป็นความสุขเล็กๆของคนชอบการ์ตูนค่ายนี้ แต่ถ้าถามเราว่าพิกัดพวกนี้อยู่ตรงไหน บอกเลยว่า จากหน้าสถานีรถไฟฟุยุอิน ตรงไปยังแหล่งท่องเที่ยวฮิตเราก็จะพบเจอมุมเหล่านี้ได้ง่ายๆเลยค่ะ

ธารน้ำและภูเขา

ระหว่างทางในยูฟุอิน จุดที่เราชอบมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นธารน้ำที่ตัดผ่านกลางเมืองยูฟุอิน วิวสวยเหมือนในนิทานเลย โดยเราสามารถเจอธารน้ำแห่งนี้ได้จากถนนเส้นหลักของยูฟุอินได้เลย

ถนนคนเดิน Yufuin

มาเที่ยวยูฟุอิน ถนนเส้นหลักที่ใครๆก็ต้องไปก็คือถนนคนเดินยูฟุอิน ถนนท่องเที่ยวสายหลักระยะประมาณ 800 เมตร ที่อัดแน่นไปด้วยร้านค้าและร้านอร่อย แนะนำเดินชิมกันไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่า ถนนแค่ 800 เมตรแต่เราสามารถเดินเล่นได้ทั้งวันเลย และอิ่มมากด้วย

Yufuin Floral Village

ที่เที่ยวยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อมายูฟุอิน หลายคนน่าจะเห็นผ่านตามาบ้าง เจ้าหมู่บ้านเหลืองๆ ที่เหมือนเราเข้าไปอยู่ในบ้านจำลอง และที่นี่ก็เป็นหมู่บ้านจำลองจริงๆ ตลอดทางอัดแน่นไปด้วยร้านขายของที่ระลึกจาก Ghibli Studio ใครเป็นสาวกของจิบลิอาจจะมีล้มละลาย

Kinrin Lake

ทะเลสาบคินริน ทะเลสาบที่เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวของยูฟุอิน หากใครมาเที่ยวช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้องสวยมากแน่ๆเลยค่ะ ส่วนเรามาช่วงฝนตก ก็สวย สดชื่นดีไปอีกแบบนะ

B-speak

ร้านเค้กโรลเจ้าดัง ที่ใครๆก็ต้องกินให้ได้เมื่อมาเที่ยวยูฟุอิน แต่เราไม่ได้กิน หืออออ เพราะว่าที่ร้านไม่ได้แบ่งขายเป็นชิ้นเล็ก แต่ขายทั้งแถว ซึ่งทริปนี้เรามาคนเดียว กินยังไงก็กินไม่หมดแน่ๆ เลยไม่ได้ซื้อมาลองทาน

ใครไปเที่ยวยูฟุอินลองชิมดูน้า ว่าอร่อยมากแบบที่ใครๆเขาว่าไว้รีวิวไว้รึป่าว

Yufu City Tourist Information Center

สำหรับที่สุดท้ายไม่ใช่ที่เที่ยว แต่เราเอาข้อมูลมาฝากสำหรับใครที่เที่ยวยูฟุอินจนเหนื่อยแล้ว อยากหาที่นั่งพักรอรถไฟ เราแนะนำว่าให้ไปที่ Yufu City Tourist Information Center ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟ ที่นี่เป็นที่สำหรับหาข้อมูลที่เที่ยว สถานที่นั่งเล่น ฝากกระเป๋า และชั้น 2 ก็มีงานนิทรรศการมาจัดแสดงด้วย อีกอย่างคือมี wifi ฟรี แต่ว่าบริเวณนี้ห้ามเอาอาหารเข้ามานะ

Bye Bye Yufuin

ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราต้องบอกลายูฟุอินแล้ว หวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เจอกันใหม่นะ และสำหรับใครที่จะมาเที่ยวที่นี่ ทำใจดีๆไว้นะ เพราะคุณอาจจะต้องหลุมรักแรงแบบเราก็เป็นได้

เที่ยว Beppu แบบ 1 Day trip พร้อมพาแช่ออนเซ็นส่วนตัว

รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริป Fukuoka และเมืองใกล้เคียง ทริปนี้เรามีโอกาสหนีเที่ยว Beppu (เบปปุ) แบบไปเช้าเย็นกลับ เลยอยากจะมาแชร์ให้ทุกคนได้หนีเที่ยวไปด้วยกันค่ะ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครสักคนที่กำลังจะหนีเที่ยวเบปปุนะคะ

Beppu เมืองแห่งบ่อน้ำพุร้อน

เบปปุ (Beppu) เป็นเมืองหนึ่งในจังหวัด Oita อยู่ในภูมิภาคคิวชู โดย เบปปุเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อน และออนเซ็นเป็นอย่างมาก และเบปปุถือว่าเป็นเมืองที่มีบ่อน้ำพุร้อนมากที่สุดเมืองหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ โดยเราสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เราจะเห็นควันที่พุ่งออกมาจากท่อตามถนนทั่วเมืองเบปปุเลยค่ะ

การเดินทางจาก Hakata มา Beppu

การเดินทางมาเบปปุนั้นมีหลากหลายวิธี แต่วันนี้เราอยากจะมาแนะนำการนั่งรถไฟจาก Hakata มายัง Beppu

วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟชินคันเซ็น Shinkansen Kodama Exp. แล้วมาเปลี่ยนขบวนที่สถานี Kokura แล้วนั่งรถไฟขบวน Ltd. Exp. Sonic มาลงที่สถานี Beppu

วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟขบวน Ltd. Exp. Sonic ต่อเดียวไปลงที่สถานี Beppu

การเดินทางครั้งนี้เราตั้งใจเลือกวิธีที่ 2 คือการนั่งรถไฟขบวน Ltd. Exp. Sonic เพราะเราอยากนั่งรถไฟขบวน Sonic 883 เจ้ารถไฟสุดเท่สีน้ำเงินเข้มขรึม

การเดินทางครั้งนี้เราสามารถใช้ JR Rail Pass, JR Kyushu, JR Northern Kyushu Pass และ ขากลับจากเบปปุเราก็แนะนำให้กลับด้วยรถไฟขบวนเดิมนะคะ เพราะเราจะสามารถนั่งได้ยาวๆ ไม่ต้องต่อรถจนถึงสถานี Hakata เลยค่ะ

สามารถเช็ครอบเวลารถไฟได้จาก App : JapanTravel

เช้าวันนี้เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าค่ะ เพราะเราตั้งใจจะเที่ยวเบปปุแบบเช้าเย็นกลับเท่านั้น และเวลาเดินทางจากสถานี Hakata ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง สถานี Beppu

ทริปนี้เราตั้งใจเลือกเดินทางด้วยเจ้ารถไฟ Sonic 883 รถไฟสีน้ำเงินสุดเท่ห์

มาดูภายในรถไฟกันค่ะ เราจองที่นั่งมาได้โบกี้ที่ 2 เมื่อเข้ามาภายในแล้วเราจะได้เจอห้องโดยสารที่พื้นปูด้วยไม้ปาเก้ ตัวห้องโดยสารสีขาวสว่างรับกับเก้าอี้เบาะและผนักพิงโทนสีแดง ส่งให้ภายในห้องโดยสารสว่างแบบสบายตามากค่ะ ตัวเบาะที่นั่ง นั่งสบาย โต๊ะหน้าที่นั่งสามารถเปิดออกมาได้ หรือใครมีกระเป๋าใบใหญ่ก็จะมีโซนเก็บกระเป๋าหรือจะเก็บของไว้ที่ช่องเก็บของด้านบนของที่นั่งเราก็ได้

และเอกลักษณ์ของเจ้ารถไฟ Sonic 883 ก็คือผนักพิงรูปลักษณ์คล้ายกับหูมิกกี้เม้าส์ ใครชอบรถไฟไม่อยากให้พลาดเลยค่ะ

นอกจากรถไฟจะสวยนั่งสบายแล้ว ระหว่างทางก็เพลินมากเลยค่ะ เราชอบนั่งรถไฟญี่ปุ่นก็เพราะชอบนั่งมองวิวข้างทางนี่แหละ

สถานี Beppu

หากใครจะมาเที่ยวเบปปุ 1 วัน ไม่นอนค้างแบบเรา เราสามารถฝากของไว้ที่ล็อกเกอร์ที่สถานี โดยที่สถานีเบปปุ มีล็อกเกอร์อยู่ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ และสถานีเบปปุถือว่าเป็นสถานีใหญ่ มีร้านอาหาร มีร้านของที่ระลึก มีคาเฟ่ ให้เราใช้เวลาอยู่ในสถานีได้นานเลยค่ะ

(วันที่เราหนีเที่ยวเป็นวันที่ฝนตกทั้งวัน ทำให้ในสถานีเบปปุเต็มไปด้วยผู้คน ทำให้ถ่ายรูปมาได้แค่นี้)

วิธีเดินทางในเมือง Beppu

การเดินทางในเมืองเบปปุจะใช้รถบัสในการเดินทางกัน ส่วนวิธีการเดินทางด้วยรถบัส หรือ รถเมล์นั้นก็คล้ายๆการเดินทางด้วยรถเมล์ประเทศอื่นๆ แต่สำหรับญี่ปุ่นอาจจะมีข้อแตกต่างอยู่บ้างดังนี้

  • ขึ้นประตูหลัง – ลงประตูหน้า
  • ใครที่มีบัตร IC Card ให้แตะที่เครื่องอ่านการ์ดตรงประตูหลังตอนขึ้น และ แตะที่เครื่องอ่านการ์ดอีกครั้งที่ประตูหน้าตอนจะลง
  • ส่วนใครที่ไม่มีบัตร IC Card ก็ให้หยิบตั๋วเล็กๆ จากกล่องที่ประตูหลัง จากนั้นให้ดูว่าเราได้หมายเลขอะไร แล้วเราสามารถเช็คค่าเดินทางของเราได้จากจอหน้าด้านใกล้คนขับว่า หมายเลขเรานั้น ค่าเดินทางกี่บาท จากนั้นเมื่อจะลงให้เอาเงินสดใส่ลงในกล้องที่อยู่ใกล้คนขับ
  • สำหรับเงินสดต้องเตรียมเงินให้พอดีจะไม่มีเงินทอน แต่มีเครื่องแลกเหรียญนะ

ทัวร์บ่อน้ำพุร้อน

กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมทำกันก็คือ ทัวร์เที่ยวชมบ่อน้ำพุร้อนทั้ง 7 บ่อ ใครมีเวลาเยอะ หรือ เลือกนอนที่เบปปุ เราก็อยากแนะนำให้ไปให้ครบทุกบ่อ แต่วันนี้เรามีเวลาไม่มากนัก เพราะมิชชั่นในการมาเบปปุของเราคือการได้แช่ออนเซ็นเอ้าท์ดอร์แบบส่วนตัวกัน

บ่อน้ำพุร้อนในเมืองเบปปุ เราจะแยกออกเป็น 2โซน

  • โซนแรก มีทั้งหมด 5 บ่อ ได้แก่ Umi Jigoku, Shiraike Jigoku, Kamado Jigoku, Oniyama Jigoku, Yama Jigoku ซึ่งทุกบ่อจะเดินถึงกันหมด ใครมีเวลาไม่เยอะ แนะนำให้เที่ยวเฉพาะโซนแรก
  • โซนสอง มี 2 บ่อ ได้แก่ Chinoike Jigoku และ Tatsumaki Jigoku ซึ่งทั้งสองบ่อจะห่างออกไปจากโซนแรกพอสมควร ใครมีเวลาเยอะก็แนะนำให้ครบทุกบ่อเลยค่ะ

ค่าเข้าบ่อน้ำพุร้อน

  • pass ราคา 2000 yen ราคานี้จะเข้าได้ทั้งหมด 7 บ่อ
  • ราคาแยกแต่ละบ่อ 450 yen/บ่อ

อย่างที่เราเล่าไปในย่อหน้าก่อนว่า เรามีเวลาไม่เยอะนัก เพราะเราจะเผื่อเวลาไว้สำหรับไปแช่ออนเซ็นด้วย เราเลยจะไปทัวร์แค่โซนแรกเท่านั้น

วิธีเดินทางไปบ่อน้ำพุโซนแรก

ให้เราไปรอขึ้นที่ป้ายหมายเลข 3 หน้าสถานีเบปปุ จากนั้นก็ให้ไปลงที่ป้ายป้าย Umi Jigoku Mae ซึ่งจอที่รถจะบอกว่าเรากำลังจะไปป้ายไหน และ ป้ายนี้ไม่มีหลงแน่นอนเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะลงป้ายนี้กัน

และเมื่อลงบัสแล้วก็ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ เราจะเห็นควันๆพุ่งออกมาทั่วไปหมด ให้เดินไปหาจุดนั้นได้เลย

ลงป้าย : Umi Jigoku Mae 

ค่าโดยสาร : 330 yen

01 Umi Jigoku

บ่อน้ำพุร้อนบ่อแรก Umi Jigoku (อุมิ จิโกกุ) บ่อนี้เป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบ่อน้ำพุร้อนทั้งหมด น้ำในบ่อมีสีฟ้า และด้วยอุณหภูมิประมาณ 98 องศา ทำให้ควันสีขาวปกคลุมเต็มบ่อน้ำเลยค่ะ ถ่ายรูปออกมาสวยมากๆเลยนะ

ค่าเข้าชม : 450 yen

วิธีเดินทาง : นั่งบัสลงป้าย Umi Jigoku Mae  ค่าโดยสาร : 330 yen

02 Oniishi Bozu Jigoku

บ่อที่ 2 คือ Oniishi Bozu Jigoku (โอนิอิชิ โบสุ จิโกกุ ) เป็นบ่อที่อยู่ใกล้บ่อแรกมาก บ่อน้ำพุร้อนบ่อนี้เป็นบ่อโคลนเดือดอุณหภูมิ 99 องศา สำหรับบ่อนี้สนุกดีนะ เพราะเราจะได้เห้นโคลนเดือดๆ ที่กำลังปะทุขึ้นมา ดูแปลกตาดีค่ะ

ค่าเข้าชม : 450 yen

03 Kamado Jigoku

บ่อที่3 Yama Jigoku (ยามะ จิโกกุ) บ่อที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ภายในบ่อที่ 3 นี้มีบ่อน้ำพุร้อนย่อยๆหลายบ่อเลยค่ะ ทั้งบ่อสีฟ้าบ่อเล็กๆที่กำลังเดือดมากๆ บ่อโคลน และ บ่อสีฟ้าขนาดใหญ่

ค่าเข้าชม : 450 yen

04 Oniyama Jigoku 

Oniyama Jigoku (โอนิยามะ จิโกกุ) สำหรับบ่อนี้สำหรับเราไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก เพราะเราแทบจะไม่เห็นอะไรเลย มันเป็นเวลาที่ฝนตกหนัก ทำให้คววันสีฟ้าพึ่งออกมาคลุ้งเต็มจนเราไม่เห็นน้ำในบ่อ แต่ความพิเศษคือใกล้ๆกับบ่อน้ำพุร้อน มีบ่อจระเข้ ที่ว่ากันว่าตัวใหญ่มาก และแน่นอนว่าเราไม่ได้เห็นเพราะฝนตกหนักมาก เลยไม่ได้เดินไปดู

ค่าเข้าชม : 450 yen

05 Shiraike Jigoku

บ่อที่ 5 Shiraike Jigoku (ชิราอิเกะ จิโกกุ) เป็นบ่อที่อยู่ในสวนแบบญี่ปุ่น ตัวบ่อไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นมากนัก แต่สำหรับผู้ติดฝนถือว่าเป็นสวนที่ช่วยในการหลบฝนได้ดีมาก 55 แต่จริงๆในวันอากาศดีน่าจะถ่ายรูปสวยเลยนะ

ค่าเข้าชม : 450 yen

แช่เท้าบ่อน้ำพุร้อน

ตามบ่อน้ำพุต่างๆ และทั่วเมืองเบปปุ จะมีบ่อให้เราสามารถแช่เท้าได้ และส่วนใหญ่ก็จะฟรีด้วย แต่แนะนำให้เอาผ้าเล็กๆมาด้วยนะคะ

ค่าเข้า : ฟรี

เมืองเบปปุ

หลังจบทัวร์บ่อน้ำพุร้อน เราจะเดินไปยังออนเซ็นที่หมายมั่นว่าจะไปแช่ให้ได้ ระยะทางไม่ไกลใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที แต่ระหว่างทางสวยมากเลยค่ะ เดินเพลินมาก ถ้าในวันที่อากาศดีเป็นเมืองที่ถ่ายรูปสวยมากนะ

แช่ออนเซ็นแบบส่วนตัว

สำหรับใครที่นอนค้างคืนที่เบปปุ การแช่ออนเซ็นส่วนตัวอาจจะไม่ยากนัก เพราะโรงแรมในเมืองนี้ส่วนใหญ่ก็จะมีออนเซ็นให้เราแช่กันอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่มาเบปปุแบบเช้าเย็นกลับแบบเรานั้นอาจจะไม่ง่ายนักที่จะได้แช่ออนเซ็น

วันนี้เราเลยมีมิชชั่นของตัวเอง คือการพาตัวเองไปแช่ออนเซ็นให้ได้ และด้วยความเป็นคนไทยอ่ะเนอะ อยากแช่แบบบ่อส่วนตัวมากกว่าบ่อรวม มันเขินอ่ะ

เราหาข้อมูลมาว่าในเมืองเบปปุ มีออนเซ็นที่เราสามารถไปแช่แบบไปกลับได้ และยังมีบ่อแบบส่วนตัวสำหรับครอบครัวด้วย ที่นี่ชื่อว่า Hyotan Onsen

Hyotan Onsen ออนเซ็นแบบไปกลับ มีโปรแกรมให้เราเลือกหลากหลายและจริงๆก็โด่งดังมากในหมู่ทัวร์ ตอนที่เราไปเจอทัวร์เยอะมาก แต่วันนี้เราจะเลือกห้องแบบส่วนตัวเท่านั้น !!

วิธีเดินทาง

  • วิธีที่1 เราสามารถนั่งรถเมล์ไปลงป้าย Hyotan Onsen ได้เลย ซึ่งจากป้ายรถเมล์ชื่อห่างจากตัวออนเซ็นประมาณ 100 เมตร
  • วิธีที่2 คือ เดิน เมืองสวยเดินเพลินๆได้เลยค่ะ

ใครจะมาใช้ออนเซ็นแบบส่วนตัวให้มาติดต่อที่เคาท์เตอร์ก่อนนะคะ เจ้าหน้าที่จะเช็คให้ว่ามีห้องไหนบ้าง แล้วเราจะแช่นานแค่ไหน ก็สามารถแจ้งและจ่ายเงินที่หน้าเคาท์เตอร์ได้เลยค่ะ

บ่อออนเซ็นแบบส่วนตัวมีทั้งบ่อแบบอินดอร์ และเอ้าท์ดอร์

ราคาออนเซ็นส่วนตัว

  • 60 นาที ราคา 2400 yen
  • 75 นาที ราคา 2800 yen
  • 90 นาที ราคา 3600 yen

วันนี้เราเลือกแช่แบบ 60 นาที เลือกห้องเอาท์ดอร์ที่ชื่อว่า Hana จ่ายเงินเรียบร้อย เราจะได้รับกระตร้ามา ภายในตระกร้าจะมีป้ายชื่อห้องที่เราจะต้องเอาไปแขวนไว้หน้าประตู กุญแจห้อง ไดร์เป่าผม เหรียญสำหรับเอาไว้หยอดให้น้ำไหล แต่จะไม่มีผ้าขนหนูให้นะ เราต้องเตรียมมาเอง หรือสามารถซื้อเพิ่มได้

เมื่อเข้ามาในห้องแบบส่วนตัว ก็จะเจอกับห้องแต่งตัว มีชั้นวางของ โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเปิดประตูด้านในจะได้เจอกับบ่อออนเซ็นแบบเอ้าท์ดอร์

เมื่อเราหยอดเหรียญที่ได้รับมาตอนจ่ายเงินแล้ว น้ำจะไหลออกมาเติมจนเต็มบ่อ การได้แช่ออนเซ็นในวันที่ฝนตก มันดีมากเลยนะ ใครมาเบปปุ เราไม่อยากให้พลาด

ชวนนั่งรถไฟจีน – ลาว | ต้นทางหลวงพระบาง ปลายทางเวียงจันทร์

ทริปนี้เราจะชวนทุกคนไปนั่งรถไฟจีน – ลาวกันค่ะ และทริปหนีเที่ยวลาวในครั้งนี้ของเราเป็นทริปเที่ยวลาวครั้งแรกด้วยนะ แต่รีวิวนี้เราขอพูดถึงการเดินทางด้วยรถไฟจีนลาว ที่มีต้นทางจากหลวงพระบาง – ปลายทางเวียงจันทร์

ปัจจุบันรถไฟจีนลาวที่มีเส้นทางในปัจจุบันจะเริ่มต้นต้นทางที่เวียงจันทร์ และ ปลายทางบ่อเต็น โดยจะมีสถานีระหว่างที่นักท่องเที่ยวอย่างเรามักใช้ในการเดินทาง ก็จะมี 3 เมืองหลักๆ ก็คือ เวียงจันทร์ – วังเวียง – หลวงพระบาง

ก่อนจะเดินทางเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรถไฟจีนลาวกันหน่อย

  • นอกจากตอนนี้เส้นทางรถไฟจีนลาวที่เปิดให้เดินทางในลาวแล้ว จะมีสถานีเวียงจันทร์ – วังเวียง – หลวงพระบาง – อุดมไซ – นาเตย – บ่อเต็น
  • รถไฟจีนลาว จะมีที่นักให้บริการแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นธุรกิจ , ชั้น1 และ ชั้น2 ราคาค่าตั๋วก็จะต่างกันตามชั้นที่นั่ง
  • รถไฟจะมีหลายรอบ (วันละประมาณ 2-3 รอบ) ให้เราเลือกเดินทาง

วิธีจองตั๋วรถไฟจีนลาว

(ทริปนี้เราเดินทางเมื่อช่วงปลายกุมภาพันธ์ ขณะนั้นแอปพลิเคชั่นในการจองตั๋วรถไฟยังใช้ไม่ได้)

  • เราสามารถไปจองตั๋วได้ด้วยตัวเอง หรือ จะใช้เอเจนซี่ในการจองก็ได้

แต่ทริปนี้เราใช้บริการของเอเจนซี่นะคะ ในการจองตั๋ว โดยแน่นอนว่าราคาตั๋วจะถูกบวกเพิ่มไปหน่อย แต่มันสะดวกกับเรา เพราะว่าถ้าจะต้องไปจองตั๋วเองเราจะต้องนั่งรถไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ไกลจากเมืองพอสมควร ดังนั้นสำหรับเราใช้บริการเอเจนซี่คุ้มกว่ามากๆเลยค่ะ

  • ตั๋วสามารถจองได้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเท่านั้น

เอเจนซี่ที่รับจองส่วนใหญ่ก็จะรับจองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 3 วัน เพราะตั๋วรถไฟจะเปิดให้เราสามารถซื้อได้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเท่านั้น

  • การจองตั๋วจะต้องใช้พาสปอร์ต

สำหรับใช้ที่จะจองตั๋วและผ่านเอเจนซี่เราจำเป็นต้องถ่ายรูปหน้าพาสปอร์ตให้เอเจนซี่ไปนะคะ แล้วเขาจะสามารถไปทำการจองตั๋วให้เราได้ค่ะ

เราขอเอาข้อมูลเอเจนซี่เราใช้ในการจองตั๋วแปะไว้ให้นะ แต่ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้รู้จักส่วนตัวกับทางเอเจนซี่นะคะ แต่ไม่ได้รับเงินในการโฆษณาใดๆ (แถมจ่ายเงินซื้อตั๋วเองด้วย 5555)

ใครสนใจอยากใช้บริการสามารถติดต่อไปเลยนะคะ

ถึงเวลาออกเดินทาง

ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถไฟสถานีต้นทางที่หลวงพระบาง และมีปลายทางที่สถานีเวียงจันทร์ ด้วยทริปนี้ตั้งใจที่จะไปทดลองนั่งรถไฟจีนลาว เพื่อมาเล่าให้ทุกคนฟัง เราเลยเลือกที่จะตั๋วรถชั้น1 (เพราะหลายๆคนน่าจะรีวิวรถไฟชั้น 2 ไปเยอะแล้ว)

ที่สถานีรถไฟภายในลาวจะเปิดให้ผู้โดยสารที่มีตั๋วเท่านั้นสามารถเข้าไปในตัวอาคารได้ และผู้โดยสารที่มีตั๋วที่ว่านั้น จะสามารถเข้าภายในอาคารได้ก่อนเวลาที่รถไฟจะมาแค่ 1 ชม. เท่านั้น และก่อนที่เราจะสามารถเข้าอาคารผู้โดยสารได้ เราจำเป็นจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสัมภาระที่เข้มงวดพอๆกับสนามบินเลยค่ะ

ภายในอาคารผู้โดยสารกว้างขวางมาก มีห้องน้ำที่ค่อนข้างสะอาดเลยค่ะ และมีจุดบริการน้ำดื่มด้วย แต่ภายในอาคารผู้โดยสารไม่ได้ขายขนมหรือเครื่องดื่มนะคะ ดังนั้นใครที่อยากจะมีอะไรทานระหว่างโดยสารด้วยรถไฟ สามารถเตรียมมาล่วงหน้าได้ หรือจะไปซื้อบนขบวนรถก็ได้ค่ะ

เมื่อใกล้ถึงเวลาทางสถานีจะประกาศให้ผู้โดยสารมาต่อแถวรอตรวจตั๋วอีกครั้งเพื่อที่จะได้ออกไปรอรถไฟที่ชานชลา โดยในตั๋วจะบอกว่าเรานั่งตู้ไหน ก็จะมีบอกว่าตู้ไหนอยู่ที่ชานชลาที่เท่าไหร่ หากไม่แน่ใจเราสามารถถามเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ

ในที่สุดรถไฟเราก็มาแล้ว มาก่อนเวลาที่จะออกประมาณ 10 นาที เราจองตั๋วชั้น 1 มาทำให้ผู้โดยสารในตู้ที่เรานั่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่ดูเป็นนักธุรกิจมากกว่าแบ็คแพ็คเกอร์

ความดีงามของที่นั่งของชั้น 1

  • เบาะที่นั่งจะจัดเป็น 2-2 ที่นั่งกว้าง นั่งสบายมากกก
  • ตัวเบาะเอนได้ มีที่วางพักเท้า และมีที่แขวนสัมภาระ
  • มีโต๊ะส่วนตัวทุกที่นั่ง เราสามารถวางออกมาทำงาน หรือทานข้าวได้
  • มีปลั้กไฟและช่องเสียบ USB ตัวเบาะเอนได้
  • มีน้ำดื่มให้บริการ (เราสามารถกดได้)
  • มีห้องน้ำสะอาด

ทริปนั่งรถไฟเราเดินทางคนเดียว ตอนจองตั๋วเลยบอกกับเอเจนซี่ว่าถ้าเป็นไปได้ขอเก้าอี้ริมหน้าต่าง เรามันคนชอบดูวิวข้างทางนี่เนอะ

เมื่อรถไฟเคลื่อนเข้ามาในชานชลาก่อนที่ผู้โดยชุดใหม่จะสามารถขึ้นไปบนรถไฟได้ ทางรถไฟจะมีพนักงานกับความสะอาดเข้าไปทำความสะอาดแต่ละโบกี้ก่อน แล้วเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้จะบอกให้เราว่าสามารถขึ้นรถไฟได้ตอนไหน

เราจองชั้น 1 ด้วยความอยากรู้ว่า จะสบายมากแค่ไหนกันนะ เมื่อเข้ามาในกระบวนรถแล้ว ที่นั่งของเราอยู่ริมหน้าต่างตามความต้องการ ผู้โดยสารข้างๆเราเป็นคนลาวที่ดูเป็นนักธุรกิจ และความเข้มขรึมของเขา ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำตัวรบกวนเขามากนัก

รถไฟออกจากชานชาลาตามเวลาที่บอกไว้ในตั๋ว จะบอกว่าความตื่นเต้นที่อยากนั่งมองข้างทางค่อยๆหดตัวลง ไม่ใช่เพราะวิวข้างทางไม่สวยหรอกนะ แต่เส้นทางรถไฟสายนี้ (น่าจะ) ใช้วิธีเกาะภูเขาเป็นส่วนใหญ่ เพราะตลอดเส้นทาง เราจะได้เห็นวิวประมาณ 2 นาที สลับความมืดที่รถไฟวิ่งเข้าอุโมงค์อีก 5 นาที สลับไปแบบนี้ตลอดเส้นทาง

การเดินทางจากหลวงพระบาง ปลายทางเวียงจันทร์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตลอดระยะทางรถไฟชั้น 1 ที่เราเดินทางบรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ จะมีช่วงที่มีรถเข็นขนมจากตู้สเบียงมาขายของเป็นบางช่วง และด้วยความสบายของเบาะที่นั่ง ทำให้เราหลับไปนานพอสมควร

การเดินทางครั้งนี้ทำเป็นอีกครั้งเราได้ลองนั่งรถไฟในต่างแดน แม้ต่างแดนที่ว่านี้จะอยู่ใกล้ไทยมากๆ และหวังงว่าการเดินทางครั้งหน้าเราจะได้ทดลองนั่งรถไฟที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้อีกครั้ง


วิธีเดินทางจากเมืองหลวงพระบางมายังสถานีรถไฟ

ขอแถมวิธีการเดินทางจากในเมืองหลวงพระบางมายังสถานรถไฟไว้สำหรับคนที่หาข้อมูลหน่อยค่ะ ด้วยสถานีรถไฟหลวงพระบางอยู่ไกลจากตัวเมืองหลวงพระบางใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชม. เห็นจะได้ ดังนั้นการเดินทางมายังสถานีรถไฟแห่งนี้ก็ไม่ได้สะดวกมากนัก

  • แนะนำให้ถามโรงแรมที่พักว่ามีรถจอยไปส่งที่สถานีรถไฟมั้ย
  • ราคาค่ารถประมาณ 30,000 – 40,000 กีบ (เราลืมตัวเลยเป๊ะๆ)
  • รถจะมาวนรับเราตามโรงแรมที่อยู่
  • รถจะไปส่งเราในช่วงเวลาที่เราจะสามารถเข้าอาคารผู้โดยสารเท่านั้น (ล่วงหน้าจากเวลาตั๋วรถไฟเราไม่เกิน 2 ชม. เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางไปยังสถานีรถไฟด้วย)

วิธีเดินทางเข้าเมืองเวียงจันทร์จากสถานีรถไฟ

หากใครที่จะเดินทางเข้าเมืองเวียงจันทร์ เราเอาวิธีการเดินทางแบบราคาถูกมาฝากกันค่ะ

  • รถเมล์ปรับอากาศเข้าเมืองเวียงจันทร์ จอดอยู่หนาสถานีและมีคนตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หาไม่ยาก ถ้าไม่ชัวร์ให้ถามว่าสถานที่เราจะไป รถเมล์สายนั้นไปมั้ย เพราะจะมีรถเมล์รออยู่ 2 สาย คือเข้าเมือง และไปสนามบิน
  • ค่าโดยสาร 15,000 กีบ
  • รถสุดสายเวียงจันทร์ได้เลย หรือจะลงประตูไชยก็ได้
  • มี QR Cord ให้สแกนเส้นทางรถเมล์ด้วย
  • ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.

Hong Kong | 4 วัน 3 คืน

ฮ่องกงประเทศที่เราหนีเที่ยวบ่อย เป็นจุดหมายปลายทางที่เดินทางง่าย เที่ยวได้สบาย มีตั้งแต่ของกินอร่อย มุมชิคๆ วัดดัง ไปจนถึงสวนสนุกระดับโลก ทำให้ฮ่องกงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ใครๆก็อยากจะมาให้ได้

ทริปนี้เรามีเวลาเที่ยวฮ่องกง 4 วัน 3 คืน เป็นการได้กลับมาฮ่องกงอีกครั้งในรอบ 5 ปี ทริปนี้เลยได้มีโอกาสไปอัพเดทคาเฟ่ แหล่งที่เที่ยว และการเดินทางไปฮ่องกงมาฝากทุกคนกันค่ะ

Hong Kong Airline

ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน Hong Kong Airline เดิมทีเราเคยเดินทางด้วยสายการบินไปฮ่องกงมาแล้ว 2-3 ครั้ง ก่อนหน้านี้เราสามารถโหลดกระเป๋าได้ฟรี เลือกที่นั่งได้ และมีอาหารเสิร์ฟ ซึ่งจะบอกว่าสายการบินนี้คือ สายการบินฟูลเซอร์วิช ที่ราคาน่ารักก็ว่าได้

แต่ในปัจจุบัน เราไม่สามารถโหลดกระเป๋าได้ (ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มเท่านั้น) แต่บนเครื่องจะมี snack และเครื่องดื่มบริการนะคะ

โดยรวมเราชอบเวลาของสายการบินนี้ ไฟล์ทไปถึงฮ่องกงเช้าเที่ยวต่อแบบไม่เสียเวลา และขากลับก็มีให้เราเลือกเยอะ ส่วนของที่นั่งถือว่ากำลังดี มีจอ ถ้าได้โหลดกระเป๋าฟรีด้วยจะเริ่ดมาก

การเดินทางเข้าฮ่องกง

ปัจจุบัน (อัพเดท ก.พ. 2566) การเดินทางเข้าฮ่องกง ไม่ต้องแสดงเอกสารใดๆ เมื่อไปถึงเราแค่กรอกฟอร์มของ ต.ม. แล้วก็ผ่านสามารถเข้าประเทศได้เลย

ตอนที่เราเข้าฮ่องกงทริปนี้ ต.ม. ไม่ถามอะไรเลย ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเราก็พร้อมเที่ยวได้เลย

ที่พัก

ทริปนี้เราพักที่ Metropark Hotel Mongkok ที่พักที่คนไทยคุ้นเคยกันดี เมื่อเราค้นหาว่าจะไปพักที่ไหนดีในฮ่องกง เราจองที่พัก 3 คืนในราคาประมาณ 7000 บาท หารกับเพื่อน 2 คน ถือว่าเป็นที่พักที่ราคาน่ารักมาก ทำเลดีเดินทางสะดวก และ ห้องกว้าง (กว่าห้องในฮ่องกงทั่วไป)

ข้อดีของ Metropark Hotel Mongkok

  • เดินทางสะดวก สามารถนั่งรถเมล์สาย A21 มาจากสนามบินลงหน้าโรงแรมได้เลย
  • ใกล้ป้ายรถเมล์ และ สถานีรถไฟฟ้า
  • ราคาคืนละ 2500 – 4000 บาท (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)
  • อยู่ในย่านมงก๊ก

ข้อเสียของ Metropark Hotel Mongkok

  • ห้องพักเต็มเร็วมาก
  • ขากลับสนามบิน ถ้าจะกลับด้วยรถเมล์จะต้องไปต่อรถ ยากกว่าขามาจากสนามบินหน่อย

บัตรปลาหมึก หรือ Octopus

สำหรับใครที่ต้องการจะซื้อบัตรปลาหมึกหรือบัตร Octopus สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟจากภายในสนามบินได้เลย แต่ปัจจุบันนี้การเดินทางด้วยรถบัส และการซื้อของอื่นๆในฮ่องกงเราสามารถใช้บัตร Visa หรือ Master ได้แล้ว

แต่สำหรับใครที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้บัตร Octopus อยู่นะคะ รวมถึงการซื้อของในร้านเล็กๆบางร้านจะไม่รับ Visa หรือ Master แต่จะรับ Octopus เท่านั้นค่ะ

ราคาบัตร 200 HKD (แต่จะเป็นค่ามัดจำบัตร 50 HKD เราสามารถใช้ได้แค่ 150 HKD)​

ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองด้วยรถบัส เพราะว่าทริปนี้เราพักที่ Metropark Hotel Mongkok โรงแรมที่มีป้ายรถเมลล์อยู่ด้านหน้าพอดีเลย

เมื่อเราผ่าน ตม. พร้อมกับกระเป๋าเดินทางแล้ว ให้เรามองหาBus ที่บอกว่า To city ให้เราเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับจุดขึ้นรถบัสค่ะ

รถบัสA21 สามารถเดินทางเข้าเมืองผ่านแหล่งที่พักที่นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่พักกัน โดยรถบัสA21จะเริ่มให้บริการตั้งแต่ ตี 5.30 – เที่ยงคืน แล้วหลังจากเที่ยงคืนรถบัสจะเปลี่ยนสายเป็น N21 ให้บริการตั้งแต่หลังเที่ยงคืน – ตี5 ของทุกวัน ระยะเวลาเดินทางประมาณ 35-45 นาที

ใครพักโรงแรม Metropark Hotel Mongkok สามารถลงรถที่ป้ายที่ 6 Metropark Hotel Mongkok, Lai Chi Kok Road ไม่ต้องกังวลว่าเราจะงง ลงรถผิดรึป่าว เพราะรถบัส หรือ รถเมล์ในฮ่องกงจะมีจอบอกป้ายที่จะถึงทุกคัน หายห่วงไม่หลงแน่นอนค่ะ

ค่าโดยสาร : 33 HKD (ราคาผู้ใหญ่) เราสามารถใช้บัตรปลาหมึก หรือ บัตร Visa / Master ได้เลยค่ะ

การเดินทางในฮ่องกง

ทริปนี้เราเราเดินทางด้วยรถเมล์เป็นหลัก เพราะด้วยที่พักเราอยู่ในทำเลที่เดินทางด้วยรถเมล์สะดวกมาก แต่ก็มีสถานที่ที่เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอยู่บ้างเหมือนกัน

วิธีที่เช็คการเดินทางได้สะดวกที่สุดเราใช้ google map เพื่อดูสายรถเมล์ ป้ายรถเมล์​ต่างๆ

Day1

  • Good Hope Noodle
  • % Arabica Victoria Dockside
  • Avenue of Stars

วันแรกกว่าเราจะไปถึง กว่าจะเช็คอินโรงแรม เข้าห้อง ล้างหน้าแปรงฟังอะไรเรียบร้อย ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวันแล้ว วันนี้เราเลยมีแพลนเที่ยวแบบไม่เร่งไม่รีบ

Good Hope Noodle

เมนูที่เราชอบมากเมื่อมาฮ่องกงคือ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ทริปนี้เราเลยตั้งใจหา บะหมี่เกี๊ยวร้านโปรดร้านใหม่ทดแทนร้านเดิมที่ปิดสังเวยให้กับพิษโควิดในฮ่องกง

Good Hope Noodle บะหมี่เกี๊ยว มิชลิน 2019 ร้านนี้มีอยู่ทั้งหมด 3 สาขา แต่วันนี้เราไปสาขา Sai Yee St ใกล้ที่พักเดินประมาณ 10 นาทีก็มาถึงร้านแล้ว ร้านนี้เป็นที่นิยมของคนฮ่องกงเอง มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร โซนที่นั่งในร้านก็มีเยอะ แต่เกือบจะเต็มตลอดเวลา และร้านนี้รับแค่เงินสดเท่านั้น

เรากับเพื่อนสั่งเมนูแนะนำของร้านนี้มาคนละชาม

– บะหมี่เกี๊ยวฮ่องกง (Noodle with Cantonese Wanton in Soup)
– บะหมี่หมูซอสพริก (Braised Noodle with Shredded Pork & Special Sauce) 

สำหรับเราร้านนี้ยังไม่อร่อยขนาดนั้น และติดเค็มมากไปหน่อย และเกี๊ยวกุ้งลูกไม่ใหญ่มากนัก แต่หากใครมาแถวนี้มาลองทานได้นะ อาจจะรู้สึกแตกต่างกับเราก็ได้

เปิด : 11.00 -22.00 น.

ราคาเริ่มต้นที่ : 37 HKD (รับเงินสดเท่านั้น)

% Arabica Victoria Dockside

สาขานี้อยู่ริมอ่าววิกตอเรีย โดยความพิเศษที่นี่ได้ Rem Koolhaas สถาปนิกนักคิดและนักปฏิบัติ ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบมามากกว่า 40 ปี เป็นคนออกแบบ

สาขานี้เป็นสาขาที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม แล้วไปหามุมเหมาะๆริมอ่าว ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มและบรรยากาศของฮ่องกง ใครมาเที่ยวฮ่องกง และมาเช็คอินที่ Avenue of Stars อย่าลืมแวะมา % Arabica นะคะ

เปิด : 10.00 -19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E หรือ สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก J1 หรือ J2

Avenue of Stars

ใครมาเช็คอินกาแฟ % สาขา Victoria Dockside อยากจะชวนมาเดินเล่นที่ถนนสายซุปเปอร์สตาร์ที่อยู่ใกล้กัน หรือที่รู้จักในชื่อ Avenue of Stars ถนนที่รวมรวบเอารอยฝามือของดาราที่มีชื่อเสียงมาประทับเอาไว้ให้เราได้ชมกัน ช่วงเวลาเย็นๆ โซนนี้เหมาะกับการนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจมากทีเดียวนะคะ

เปิด : ตลอดเวลา

วิธีเดินทาง : MTR สถานี East Tsim Sha Tsui Station ทางออก P1 

Day2

  • นั่งรถรางฮ่องกง
  • Cupping Room
  • Miam Bakery
  • Monster Mansion
  • Hong Kong Museum of Art
  •  % Arabica Hong Kong Star Ferry
  • Victoria Harbour

วันที่สองของทริป เราตั้งใจเก็บที่เที่ยวที่ลิสท์ไว้ในใจทั้งหมด อาจจะเป็นที่เที่ยวที่ไม่ใช่ที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมไปกันมากนัก แต่เป็นที่ที่เราอยากไปมาก ฮ่าาาา

นั่งรถรางฮ่องกง

ใครมาฮ่องกงจะต้องมาถ่ายรูปกับรถราง แต่ทริปนี้เราจะชวนทุกคนไปนั่งรถรางกันค่ะ เรามาฮ่องกงหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เราจะไปลองนั่งรถราง

จริงๆการเดินทางในฮ่องกงมีหลายวิธีมากๆ แต่อีกหนึ่งวิธีที่เราอยากชวนมาลองกันเมื่อได้มาฮ่องกง นั่นก็คือ การนั่งรถราง หรือ Tram รถรางของฮ่องกงให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 และยังให้บริการจนถึงทุกวันนี้ สำหรับฮ่องกงเราว่า รถรางอาจจะไม่ใช่แค่ยานพาหนะที่จะพาเราไปสู่จุดหมาย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกาะฮ่องกงอีกด้วย

รถรางของฮ่องกงจะให้บริการอยู่เฉพาะบนเกาะฮ่องกงเท่านั้น อธิบายง่ายๆว่า นักท่องเที่ยวแบบเราถ้าไปย่าน Sheung Wan, Admiralty, Central, Wanchai, Causeway Bay ก็สามารถจะลองนั่งรถรางดูสักครั้งได้ค่ะ

📍วิธีการเดินทางด้วยรถรางฮ่องกง
01 ขึ้นประตูหลัง ลงประตูหน้า
02 จ่ายเงินด้วยเงินสด (แบบพอดี) และบัตร octopus ด้านหน้าตอนจะลง
03 ราคา (ประมาณ) 2-3 HKD
05 รถรางมี 2 ชั้นเลือกนั่งได้ตามสบาย

Cupping Room

กาแฟแก้วแรกของวันนี้เรายกให้ที่นี่เลยค่ะ Cupping Room สาขา Central อยู่ในตึกทำเลหัวมุมของถนนในย่าน Central ทำให้บรรยากาศนอกร้านก็ดูเท่ๆสไตล์ฮ่องกง ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นโซนสั่งเครื่องดื่ม และมีมุมให้เรานั่งได้ไม่เยอะนัก ส่วนชั้นบนพื้นที่กว้างกว่า มีโต๊ะเก้าอี้ให้สำหรับคนที่นั่งดื่มกาแฟที่นานกว่า หรือจะนั่งทำงานก็เหมาะเลยนะ

กาแฟที่นี่สมคำล่ำลือ ใครเป็นสายกาแฟหนีเที่ยวฮ่องกงทริปหน้าอย่าลืมแวะไปเช็คอินกันนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -17.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-18.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

Miam Bakery

ไหนๆก็มาโซน Central Hongkong แล้ว เราเลยถือโอกาสนี้มาตามหาร้านขนมปังที่โด่งดังในไอจีของฮ่องกงซะหน่อย ร้านนี้มีชื่อว่า Miam Baker ร้านนี้ดังมากเรื่องขนมปังและเบเกอรี่ โดยแต่ละวันจะมีเมนูไม่ซ้ำกัน ความพิเศษของร้านคือเราสามารถมองเห็นครัวที่อบขนมอีกด้วย ร้านนี้ไม่มีที่นั่งนะคะ เป็น take away เท่านั้น

ใครไปย่าน Central แล้วอยากไปลองกินขนมปังของร้านนี้สักหน่อยเราก็แนะนำมากเลยค่ะ และอีกอย่างที่ถูกใจคนชอบถ่ายรูป คือมุมหน้าร้านนี้น่ารักมากเลยค่ะ

เปิด : 8.00-18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Sai Ying Pun

(ให้เดินทางด้วยรถเมล์ หรือ รถรางจะสะดวกสุด แต่เดินไกลหน่อยนะ)

Monster Mansion

Monster Mansion ตึกที่ปรากฏในภาพยนต์เรื่อง Transformer จริงๆตึกนี้ชื่อว่า Yick Fat Building (เลขที่ 1048 King road) เป็นตึกที่คนฮ่องกงอาศัยอยู่จริงๆ และเป็นจุดเช็คอินที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลกันมาเช็คอินตลอด

ข้อควรระวัง : ด้วยตึกนี้เป็นตึกที่ประชาชนชาวฮ่องกง อาศัยอยู่จริง หากเราจะมาถ่ายรูป หรืออยากมาเช็คอิน ก็ไม่ควรที่จะส่งเสียงหรือทำอะไรรบกวนผู้อยู่อาศัยนะคะ

ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับกาแฟ % มาถ่ายรูปที่นี่แล้วจะแวะกินกาแฟหน่อย ในบริเวณเดียวกันก็มี % Arabica Coffee สาขา Monster Mansion ให้เราได้กินกาแฟอร่อยๆด้วย

📍วิธีเดินทาง : MTR สถานี Tai Koo ทางออก B เดินต่ออีกนิดหาไม่ยากค่ะ

Hong Kong Museum of Art

ทริปนี้เราไม่ได้ไปช็อปปิ้งเลย เพราะมัวเอาเวลาไปเดินเล่น เช็คอินคาเฟ่ เข้ามิวเซียมแทน สงสัยจะเริ่มแก่แล้วล่ะมั้ง

หนึ่งในมิวเซียมที่เราอยากมามากในทริปนี้ก็คือ Hong Kong Museum of Art ความดีงามของที่นี่คือ เดินเพลิน มุมถ่ายรูปสวย มีจุดให้นั่งมองวิวอ่าววิกตอเรีย และที่สำคัญเข้าฟรี

พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง หรือ HKMoA ภายในเป็นมิวเซียมที่มีคอลเลคชั่นงานศิลปะมากกว่า 17,000 รายการ โดยศิลปะต่างๆนั้นมีความหลากหลายมากกก มีตั้งแต่ภาพวาด ข้าวของเครื่องใช้โบราณ ศิลปะงานร่วมสมัย และอีกเยอะเลย

ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในฮ่องกงที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองไปมากกก แนะนำว่าควรมีเวลามากกว่า 2 ชั่วโมงเพราะเดินเพลินมากเวลาหมดไปแบบไม่รู้ตัว นอกจากศิลปะที่มีให้เราชมเยอะมากแล้ว มุมนั่งเล่นมองเห็นอ่าวที่นี่ก็ดีมาก ถ่ายรูปสวยด้วยนะ ใครหาที่นั่งเพลินๆปล่อยใจ หรือจะหามุมถ่ายรูปเก๋ๆ ต้องห้ามพลาด

ค่าเข้า : ฟรี

เปิด : 10.00-18.00 น. วันเสาร์และอาทิตย์ 10.00-19.00 น. หยุดทุกวันพฤหัส

วิธีเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Tsim Sha Tsui ทางออก Exit L6

% Arabica Hong Kong Star Ferry

% Arabica Hong Kong Star Ferry ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ Star Ferry ย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) อย่างที่เรารู้จักกันว่า % Arabica เป็นแบรนด์กาแฟที่รสชาติมาตรฐาน ทุกสาขาอร่อยเหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่ทำให้แฟนคลับแบบเราตามไปเช็คอินทุกสาขานั่นก็คือ ตัวร้านของแต่ละสาขาตกแต่งออกมาได้สวยมาก มีความน้อยแต่มากตามสไตล์ของแบรนด์

บรรยากาศของสาขานี้ให้ความรู้สึกสบายๆ มีมุมให้นั่งไม่มากนัก และมีโต๊ะอยู่หน้าร้านอยู่ 2-3 โต๊ะที่เป็นรูปแบบของ Coffee Stand แต่กลับกลายว่ามุมนี้เป็นเอกลักษณ์ของสาขานี้ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมากค่ะ

เรามาสาขานี้ช่วงเย็นๆทำให้คนไม่เยอะ ถ่ายรูปสบายๆ

เปิด : 9.00 -19.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงสถานี Tsim Sha Tsui ทางออก L6 แล้วเดินไปที่ท่าเรือ Star Ferry ร้านอยู่ชั้น 2 (เดินตาม google mpas มาได้เลยค่ะ)

Victoria Harbour

อ่าววิคตอเรีย  จัดเป็นวิวอ่าวที่สวยติดอันดับโลก ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวที่มาฮ่องกง ต้องมา วันนี้ไหนๆเราก็มาโซนนี้แล้ว เลยเดินมาถ่ายรูปเล่นต่อ ช่วงเย็นมุมนี้สวยเลยนะคะ น่าแปลกเพราะว่าตรงนี้มีคนเยอะ แต่บรรยายกลับเหงาจับใจซะงั้น

ใครมาฮ่องกงต้องมาเช็คอินที่นี่เลยน้า สายถ่ายรูปสตรีทน่าจะชอบด้วยนะ

เปิด : ตลอดเวลา

การเดินทาง : สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก L6 หรือ สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E

Day3

  • GOODIN’ OUT Coffee
  • Hong Kong Disneyland
  • Hung Hom Kwun Yum Temple
  • Mak’s Noodle

วันที่สามของทริปเราจะไปดิสนีย์แลนด์กันค่ะ แต่วันนี้เราเริ่มวันเร็วหน่อย อยากจะไปหากาแฟอร่อยๆ ในคาเฟ่ที่อยากไป ก่อนจะไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์

GOODIN’ OUT Coffee

Goodin’ Out Coffee คาเฟ่ที่พึ่งเปิดใหม่ย่าน Tai Kok Tsui เรารู้จักร้านนี้ผ่านไอจีที่บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกงเช็คอินเอาไว้

ตัวร้านเป็นสีขาวคลีนๆ อยู่ใกล้ย่านออฟฟิศของฮ่องกง ด้วยเรามาตอนเช้าตั้งแต่ร้านเปิด บรรยากาศของร้านเป็นแบบสบายๆ เราชอบมุมหน้าร้านริมถนนที่สามารถนั่งมองมนุษย์ออฟฟิศฮ่องกง เดินทางไปเข้างานกันไม่ขาดสาย

ร้านมีเมนูทั้งเครื่องดื่มและขนม เราสั่ง อเมริกาโน่ รสชาติดีมากทีเดียวค่ะ ใครอยู่ใกล้ย่านนี้แนะนำลองมาเช็คอินกันดูนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -19.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00น.

Hong Kong Disneyland

ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ถือว่าเป็นดิสนีย์แลนด์ที่ขนาดเล็กที่สุดในโลก เราสามารถเที่ยวได้ครบภายใน 1 วัน

ความน่ารักของดิสนีย์แลนด์เริ่มต้นตั้งแต่รถไฟที่เราจะเดินทางเข้าดิสนีย์ เราแนะนำว่าใครจะไปดิสนีย์แลนด์ให้เลือกไปวันธรรมดา และไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเปิดเลย เพราะว่าคิวเครื่องเล่นแต่ละอย่างจะไม่เยอะ ไม่ต้องรอนาน เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าไปเลย เมื่อไปถึงก็แค่สแกนคิวอาร์โค้ดแล้วเข้าในสวนสนุกได้เลย

เรากับเพื่อน คือ เด็กน้อยในร่างคนวัย 30 ที่สนุกกับวิ่งไปต่อแถวเครื่องเล่น เน้นสนุก ไม่เน้นเหมาะสม 5555 ใครหนีเที่ยวฮ่องกง เราแนะนำเลยค่ะ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ สนุกมากก ถ่ายรูปสวย เป็นหนึ่งวันที่คุ้มมากสำหรับทริปหนีเที่ยวฮ่องกง

สรุปข้อแนะนำ

  • แนะนำเลือกไปวันธรรมดาเพราะคนจะน้อยกว่าวันหยุดเยอะเลย
  • ซื้อตั๋วเข้าพาร์คไปล่วงหน้าเลย ไปถึงก็แค่สแกน ถ้าเข้าวันธรรมดา ตั๋วจะถูกกว่าวันหยุดประมาณ 300 บาท
  • พาร์คเปิด 10.30 น. แนะนำให้มาถึงดิสนีย์ประมาณ 10 โมง เราจะเป็นกลุ่มแรกๆที่เข้าพาร์ค คิวเครื่องเล่นคนจะน้อย

เปิด : 10.30 – 20.45 น.

การเดินทาง :  MTR มาลงที่สถานี Hong Kong Disneyland Resort

Hung Hom Kwun Yum Temple

ไปฮ่องกง ไม่ไปมูก็เหมือนไปไม่ถึง ทริปนี้เราไปมูมาแค่ 2 ที่เท่านั้น เลือกเน้นๆ (เน้นเงิน 55555)

Hung Hom Kwun Yum Temple (วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ) ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวัดที่มีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง ที่ตั้งอยู่ในย่านฮ่องฮำ (Hung Hom) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1873

วัดที่เราจะสามารถยืมเงินเจ้าแม่กวนอิมได้ วัดนี้เน้นๆเรื่องเงินเท่านั้นในการขอ หากเราได้ตามคำขอแล้วก็ขอแค่กลับมาขอบคุณเจ้าแม่กวนอิมอีกครั้งเท่านั้นเอง สำหรับใครที่กลัวว่าเราจะไหว้ถูกมั้ย หายห่วงได้เลยค่ะ ที่วัดมีเจ้าหน้าที่พูดภาษาไทยได้ และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือดีมากค่ะ

เปิด : 8.00 – 17.45 น.

การเดินทาง : MTR สถานี Hung Hom ทางออก B1

Mak’s Noodle

เราขอปิดทริปวันนี้ด้วยการไปตามหาบะหมี่เกี๊ยวกุ้งของโปรด

Mak’s Noodle หนึ่งในร้านบะหมี่ระดับตำนานที่ดีที่สุดในฮ่องกง เปิดครั้งแรกเมื่อปี 1920 บนจีนแผ่นดินใหญ่ โดย Mak Woon Chi ซึ่ง Mak’s Noodle มีหลายสาขา วันนี้เรามาที่สาขา Central (เพราะเพื่อนเราอยากมาสาขานี้เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าศิลปินที่นางเป็นติ่งนั้นมาสาขานี้)

 เราสั่งบะหมี่เกี๊ยว ( Signature Wonton Noodles ) โดยเมนูนี้จะเสิร์ฟมาในชามขนาดไม่ใหญ่นัก อัดแน่นมาด้วยบะหมี่ที่กินยังไงก็อิ่มมมมมม พร้อมกับเกี๊ยวกุ้งลูกไม่ใหญ่นัก สำหรับเรารสชาติของบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่นี่อร่อยเลยค่ะ ทุกอย่างลงตัวกำลังดี

ใครจะมาสาขา Central อยากจะบอกว่า ร้านอยู่ติดกับคาเฟ่ Cupping Room มาทีเดียวเก็บได้ 2 ร้านเลยนะ

เปิด : 10.30 -20.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

Day 4

  • Halfway Coffee
  • M+
  • Che Kung temple

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริป เราจะกลับไทยเที่ยวบินช่วงเย็นๆ ทำให้เรายังพอมีเวลาให้ตะลอนเก็บที่เที่ยวอยู่

Halfway Coffee

ตัวร้านอยู่ในย่านอุปกรณ์ช่าง เดินเข้าซอยมาเรื่อยๆก็จะเจอ ตัวร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายมีความเป็นจีนแบบเดิมๆมาผสมกับความเข้มขรึมของร้านอย่างลงตัว

เราไปช่วงเช้าทำให้ในร้านยังไม่มีลูกค้าคนอื่น ทำให้เราสามารถเดินสำรวจร้านได้จนทั่ว ตัวร้านมองจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดแค่คูหาเดียว แต่เมื่อลองเดินไปทั่วๆ ถึงได้รู้ว่าางร้านจัดมุมเพื่อให้มีสเปซที่เยอะมาก

เราสั่งกาแฟ และ ชาเขียวใส่แก้วทานที่ร้าน เครื่องดื่มของเราก็จะเสิร์ฟมาในแก้วที่มองไกลๆก็ยังรู้ว่ามีความจีนผสมอยู่ในนั้น รสชาติเครื่องดื่มอร่อยมากทีเดียวค่ะ

เปิด : 8.00 -18.00 น.

วิธีเดินทาง : เราแนะนำให้นั่งรถเมล์จะเดินไม่ไกล

M+

M+ (เอ็มพลัส) ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ของฮ่องกงที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2021 โดยที่นี่คือหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยด้านศิลปวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดย M+ เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่สำคัญของ The West Kowloon Cultural District Authority (WKCDA) ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลเพื่อสร้าง “เขตวัฒนธรรมฮ่องกง” (Cultural District)

ที่นี่เหมาะสำหรับคนชอบศิลปะ ชอบการเดินเล่นมิวเซียม หากมีทริปหนีเที่ยวไปฮ่องกง เราอยากแนะนำให้ไปที่นี่มากกก เพราะภายในมีงานจัดแสดงเยอะมาก พื้นที่อาคารภายในสวยงาม มีความมินิมอล มุมถ่ายรูปก็ดีมาก และแอบกระซิบว่าใครจะไปเดินเล่นที่นี่ควรมีเวลาอย่างน้อยครึ่งวันถึงจะคุ้มค่า แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปก่อนนะคะ เราจองผ่าน KKday


เปิด : อังคาร – พฤหัส 10.00-18.00 น. // วันเสาร์และอาทิตย์ 10.00-18.00 น. // วันศุกร์ 10.00-22.00 น. หยุดทุกวันจันทร์
ค่าเข้า : 120 HKD
วิธีเดินทาง : MTR สถานี Kowloon ทางออก E4 หรือ E5 จากนั้นเดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ

Che Kung temple

วัดแชกงหมิวหรือวัดกังหันที่คนไทยรู้จักกันดี วัดนี้ถือว่าดังมากในหมู่นักท่องเที่ยวไทย และแน่นอนค่ะ ทริปนี้เราบอกแล้วว่าเราไปแค่ 2 วัดแบบเน้นๆ (เน้นเงิน)

Che Kung temple หรือ วัดกังหันลม เป็นวัดที่ประชาชนคนจีนให้ความศรัทธาเลื่อมใสมาอย่างยาวนาน ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ 300 ปีที่แล้ว เพื่อระลึกถึง นักรบเอก “แช กง” ซึ่งเป็นนักรบในราชวงศ์ซ่งผู้มีฝีมือเก่งกาจในการต่อสู้และออกรบ

สำหรับใครที่จะมามูที่วัดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไหว้ไม่ถูก เพราะว่าเจ้าหน้าที่วัดพูดไทยได้ มีวิธีการไหว้เป็นภาษาไทยอธิบายอย่างชัดเจน และวัดนี้เราไปมาหลายครั้งแล้ว ขออะไรก็ได้เกือบทุกครั้งโดยเฉพาะเรื่องเงิน

เปิด : 07.00 – 18.00 น.

วิธีการเดินทาง : MTR สถานี Che Kung Temple (สายสีน้ำตาล) ทางออก B เดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ

Bye Bye Hong Kong

ทริปนี้ได้กลับมาเที่ยวฮ่องกงในรอบ 5 ปี เป็นทริปที่สนุกมากกก ตอนแรกเราตั้งใจว่าเป็นทริปเที่ยวชิลๆ สบายๆ แต่ไปๆมาๆ เรากลับตามล่าที่เช็คอินมาทั้ง 17 จุดเช็คอินในเวลา 4 วัน 3 คืน สำหรับเราฮ่องกงเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย มีเวลาน้อยก็เที่ยวได้ หากช่วงไหนมีโปรตั๋วเครื่องบินราคาดีๆ ที่พักราคาน่ารัก ฮ่องกงก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่แนะนำนะคะ

ป้ายยาคาเฟ่ฮ่องกงน่าเช็คอิน

ปี 2023 เป็นปีที่เราไปฮ่องกงทั้งหมด 3 ครั้ง ไปเที่ยวเล่นบ้าง ไปไหว้พระบ้าง ไปแบบงงๆบ้าง ทำให้เป็นที่มาของการรวบรวมคาเฟ่น่าเช็คอิน (ที่ตัวเราไปมาแล้ว) มาป้ายยาเอาไว้ เผื่อว่าจะเป็นไอเดียให้ใครที่กำลังจะหนีเที่ยวฮ่องกงกันนะคะ

% Arabica Hong Kong Star Ferry

หากใครติดตามบันทึกนักหนีเที่ยวมานาน ก็น่าจะพอรู้ว่าลิเดียเป็นแฟนคลับของกาแฟ % หรือ % Arabica Coffee และเมื่อมาฮ่องกงแล้วจะไม่แวะมาสั่งกาแฟสักแก้วก็เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเรา (ฮ่าๆ)

สาขาแรกที่เราจะชวนไปเช็คอินกันก็คือสาขา  % Arabica Hong Kong Star Ferry

% Arabica Hong Kong Star Ferry ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ Star Ferry ย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) อย่างที่เรารู้จักกันว่า % Arabica เป็นแบรนด์กาแฟที่รสชาติมาตรฐาน ทุกสาขาอร่อยเหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่ทำให้แฟนคลับแบบเราตามไปเช็คอินทุกสาขานั่นก็คือ ตัวร้านของแต่ละสาขาตกแต่งออกมาได้สวยมาก มีความน้อยแต่มากตามสไตล์ของแบรนด์

บรรยากาศของสาขานี้ให้ความรู้สึกสบายๆ มีมุมให้นั่งไม่มากนัก และมีโต๊ะอยู่หน้าร้านอยู่ 2-3 โต๊ะที่เป็นรูปแบบของ Coffee Stand แต่กลับกลายว่ามุมนี้เป็นเอกลักษณ์ของสาขานี้ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมากค่ะ

เรามาสาขานี้ช่วงเย็นๆทำให้คนไม่เยอะ ถ่ายรูปสบายๆ

 % Arabica Hong Kong Star Ferry

เปิด : 9.00 -19.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงสถานี Tsim Sha Tsui ทางออก L6 แล้วเดินไปที่ท่าเรือ Star Ferry ร้านอยู่ชั้น 2 (เดินตาม google mpas มาได้เลยค่ะ)

GPS : https://maps.app.goo.gl/Ygcne2fM48Z6ThAC8

% Arabica Victoria Dockside

อีกหนึ่งสาขาที่อยู่ไม่ไกลจากสาขา  % Arabica Hong Kong Star Ferry ส่วนสาขานี้อยู่ในโลเคชั่นจุดเช็คอินยอดฮิตของคนมาฮ่องกง ที่นั่นคือ Avenue of Stars

% Arabica Victoria Dockside สาขานี้อยู่ริมอ่าววิกตอเรีย โดยความพิเศษที่นี่ได้ Rem Koolhaas สถาปนิกนักคิดและนักปฏิบัติ ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบมามากกว่า 40 ปี เป็นคนออกแบบ

สาขานี้เป็นสาขาที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม แล้วไปหามุมเหมาะๆริมอ่าว ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มและบรรยากาศของฮ่องกง ใครมาเที่ยวฮ่องกง และมาเช็คอินที่ Avenue of Stars อย่าลืมแวะมา % Arabica นะคะ

% Arabica Victoria Dockside

เปิด : 10.00 -19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E หรือ สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก J1 หรือ J2

GPS : https://maps.app.goo.gl/8GGEk3qkzHtPowfdA

Cupping Room

อีกหนึ่งคาเฟ่ที่เราได้ลิสท์มาว่าเมื่อไปฮ่องกงต้องไปลองเช็คอินคาเฟ่แห่งนี้ให้ได้ และจริงๆแล้ว Cupping Room ก็มีอยู่แล้วหลายสาขา แต่สาขาที่เราไปคือ Central

Cupping Room สาขา Central อยู่ในตึกทำเลหัวมุมของถนนในย่าน Central ทำให้บรรยากาศนอกร้านก็ดูเท่ๆสไตล์ฮ่องกง ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นโซนสั่งเครื่องดื่ม และมีมุมให้เรานั่งได้ไม่เยอะนัก ส่วนชั้นบนพื้นที่กว้างกว่า มีโต๊ะเก้าอี้ให้สำหรับคนที่นั่งดื่มกาแฟที่นานกว่า หรือจะนั่งทำงานก็เหมาะเลยนะ

กาแฟที่นี่สมคำล่ำลือ ใครเป็นสายกาแฟหนีเที่ยวฮ่องกงทริปหน้าอย่าลืมแวะไปเช็คอินกันนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -17.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-18.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

GPS : https://maps.app.goo.gl/cqatmokKtsqVq32h8

GOODIN’ OUT Coffee

Goodin’ Out Coffee คาเฟ่ที่พึ่งเปิดใหม่ย่าน Tai Kok Tsui เรารู้จักร้านนี้ผ่านไอจีที่บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกงเช็คอินเอาไว้

ตัวร้านเป็นสีขาวคลีนๆ อยู่ใกล้ย่านออฟฟิศของฮ่องกง ด้วยเรามาตอนเช้าตั้งแต่ร้านเปิด บรรยากาศของร้านเป็นแบบสบายๆ เราชอบมุมหน้าร้านริมถนนที่สามารถนั่งมองมนุษย์ออฟฟิศฮ่องกง เดินทางไปเข้างานกันไม่ขาดสาย

ร้านมีเมนูทั้งเครื่องดื่มและขนม เราสั่ง อเมริกาโน่ รสชาติดีมากทีเดียวค่ะ ใครอยู่ใกล้ย่านนี้แนะนำลองมาเช็คอินกันดูนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -19.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00น.

GPS : https://maps.app.goo.gl/aoxDhTyMAZjtmjPU9

Buff

คาเฟ่สวยที่เราบังเอิญเจอ

Buff คาเฟ่ขนาดใหญ่ที่เราบังเอิญเจอตอนที่เดินเล่น ด้วยคาเฟ่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์ของเรามาตั้งแต่ตอนแรก แต่ด้วยร้านที่ทำสวย จนต้องเดินเข้าไป ภายในร้านมีเมนูอาหารบรัชน์ด้วยนะ มีเบเกอรี่ที่ร้านทำเองด้วย (เราไปตอนร้านกำลังอบขนมพอดี)

กาแฟที่นี่อร่อยเลยนะคะ แต่ที่เราชอบมากคือร้านนี้อยู่ในย่านที่อยู่อาศัย มีบรรยากาศความเป็นฮ่องกงสุดๆ มุมหน้าร้านถ่ายรูปออกมาเก๋ดีค่ะ เอาเป็นว่าลองเอาหมุดgps ไปเสิร์ชดูนะคะ ถ้าอยู่ไม่ไกลจากเส้นที่ไปก็อยากแนะนำ แต่ถ้าอยู่ไกลก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ไปก็ถือว่าไม่พลาดอะไร

เปิด : 9.30 -19.00 น.

GPS : https://maps.app.goo.gl/5JDvuqtSD1q75rMg6

Halfway Coffee

ตัวร้านอยู่ในย่านอุปกรณ์ช่าง เดินเข้าซอยมาเรื่อยๆก็จะเจอ ตัวร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายมีความเป็นจีนแบบเดิมๆมาผสมกับความเข้มขรึมของร้านอย่างลงตัว

เราไปช่วงเช้าทำให้ในร้านยังไม่มีลูกค้าคนอื่น ทำให้เราสามารถเดินสำรวจร้านได้จนทั่ว ตัวร้านมองจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดแค่คูหาเดียว แต่เมื่อลองเดินไปทั่วๆ ถึงได้รู้ว่าางร้านจัดมุมเพื่อให้มีสเปซที่เยอะมาก

เราสั่งกาแฟ และ ชาเขียวใส่แก้วทานที่ร้าน เครื่องดื่มของเราก็จะเสิร์ฟมาในแก้วที่มองไกลๆก็ยังรู้ว่ามีความจีนผสมอยู่ในนั้น รสชาติเครื่องดื่มอร่อยมากทีเดียวค่ะ

เปิด : 8.00 -18.00 น.

วิธีเดินทาง : เราแนะนำให้นั่งรถเมล์จะเดินไม่ไกล

GPS : https://maps.app.goo.gl/zBsUYbjLuezkFrSm6

Blue Bottle Coffee Hong Kong

คาเฟ่กาแฟแบรนด์ดังที่มีสาขาทั่วโลก ซึ่งแบรนด์นี้เขาก็มาเปิดในฮ่องกงด้วยค่ะ ปัจจุบันในฮ่องกงมีทั้งหมด 3 สาขา แต่ทริปนี้เรามาสาขา Central

สาขา Central ตัวร้านมีสองชั้น (วันที่เราไปคนเยอะมากก) โดยชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับสั่งออเดอร์ และผู้คนที่ใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับการ take away จิบกาแฟมองรถผ่าน แล้วก็ไปเดินเล่นช้อปปิ้งต่อ ส่วนชั้นสอง จะเป็นส่วนของ Slow bar เหมาะสำหรับสายดริป ไม่เร่งรีบ ค่อยๆลิ้มรสกาแฟไปทีละสเต็ป

ส่วนตัวเราชอบชั้นล่าง เพราะมีโซนที่เปิดโล่ง นั่งมองรถบนถนน จิบกาแฟไปสบายใจสุดๆ ส่วนกาแฟไม่ต้องพูดถึงค่ะ ที่นี่มาตรฐานรสชาติกาแฟดีมากอยู่แล้ว ใครไปเที่ยวย่าน Central ลองแวะไปเช็คอินดูน้า

เปิด : 8.00-19.00 น.

วิธีการเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central

GPS : https://maps.app.goo.gl/sVR5jevYHtkQYJQW7

Winstons Coffee

คาเฟ่เท่ๆในฮ่องกง Winstons Coffee มีสามสาขา คือ Sai Ying Pun , Kennedy Town และ  Tai Hang

ทริปนี้เราไปเช็คอินกันที่สาขา Sai Ying Pun สาขานี้เป็นสาขาเล็กๆ เหมาะสำหรับทาง take away เราชอบคาเฟ่นี้ เพราะร้านจะตกแต่งไปตามเทศกาลในช่วงนั้น และเราชอบหน้าร้านของทุกสาขาเลย เป็นมุมเท่ๆ ให้เราได้ถ่ายรูป

กาแฟที่นี่ดีเลยค่ะ ใครเป็นสายกาแฟ แวะมาเดินเล่นแถวนี้ลองแวะมาเช็คอินดูนะคะ

เปิด : 7.00-19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Sai Ying Pun ทางออก 1

GPS : https://maps.app.goo.gl/KGGt1KsW92DxVTmH7

Miam Bakery

ขอแถมจากคาเฟ่ที่น่าไปเช็คอินแล้ว ทริปนี้เราอยากจะแนะนำร้านขนมปังที่น่ารักและน่ากินมากๆอีกสักร้านหนึ่ง

ร้านนี้อยู่ในย่าน Central ร้านนี้เด่นมากเรื่องขนมปังและเบเกอรี่ โดยแต่ละวันจะมีเมนูไม่ซ้ำกัน ความพิเศษของร้านคือเราสามารถมองเห็นครัวที่อบขนมอีกด้วย ร้านนี้ไม่มีที่นั่งนะคะ เป็น take away เท่านั้น

ใครไปย่าน Central แล้วอยากไปลองกินขนมปังของร้านนี้สักหน่อยเราก็แนะนำมากเลยค่ะ และอีกอย่างที่ถูกใจคนชอบถ่ายรูป คือมุมหน้าร้านนี้น่ารักมากเลยค่ะ

เปิด : 8.00-18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Sai Ying Pun

GPS : https://maps.app.goo.gl/vrim8bYfpu7Nf9Xv5

 % Arabica Coffee Hong Kong Monster Mansion

ขอแถมอีกหนึ่งร้าน เพราะร้านนี้เราแค่ผ่านไปไม่ได้แวะสั่งเครื่องดื่มหรือขนม แต่เอามาฝากสำหรับใครที่จะไปถ่ายรูปที่ตึกทรานฟอร์เมอร์ก็จะสามารถเจอสาขานี้ได้

แน่นอนว่า % Arabica Coffee รสชาติถือว่ามาตรฐานทุกสาขา แต่ความน่าสนใจคือร้านของแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์จนทำให้แฟนคลับ (อย่างเรา) ต้องไปตามเช็คอินอยู่เรื่อยๆ

สาขานี้ตั้งอยู่นบริเวณเดียวกับตึกที่เป็นจุดเช็คอินดังของฮ่องกงที่ปรากฎในภาพยนต์เรื่อง Transformer ซึ่งตึกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวฮ่องกงจริงๆของชาวฮ่องกงที่มีชื่อว่า Montane Mansion หรือ Yick Fat Building นั้นเองค่ะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.30-19.00 น และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00 น.

GPS : https://maps.app.goo.gl/qFLpoSw8FSD255pK9

The Cavalli Casa Resort | หนีเที่ยวไปนอนอยุธยา

ทริปนี้เราชวนหนีเที่ยวไปนอนชิลๆกันที่อยุธยา แม้เราจะเคยไปอยุธยามาหลายครั้งแล้ว แต่ทริปนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะไปนอนค้างคืนที่อยุธยา และทริปนี้เราตกลงปรงใจไปนอนชิลๆกันที่ The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort หรือ เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท เป็นที่พักขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 35 ไร่ ที่มีห้องพัก 120 ห้อง ตัวอาคารแบ่งเป็นอาคาร   A อาคาร B โดยห้องพักจะมีทั้งหมด 5 Room type ได้แก่ Superior , Deluxe ,Grand Superior , Grand Deluxe และ Suite โดยแต่ละ Room type มีการตกแต่งที่ต่างกันด้วยภาพ Canvas สถานที่สำคัญของอยุธยา

นอกจากที่นี่จะเป็นที่พักที่มีห้องให้เลือกพักเยอะมาก The Cavalli Casa Resort ยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากอีกด้วยค่ะ ตัวที่พักตั้งอยู่ในตัวเมืองอยุธยา ห่างจากตลาดน้ำอโยธยา วัดเมหยงคณ์ และสถานีรถไฟอยุธยา ประมาณ 3 กิโลเมตร สามารถเดินทางจากโรงแรมไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ในจังหวัดอยุธยาได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที

และนอกจากห้องจะมีให้เลือกพักหลากหลาย การเดินทางหนีเที่ยวในเมืองอยุธยายสะดวกแล้ว สิ่งที่เราชอบมากก็เช่นกัน ก็คือที่จอดรถเยอะมาก สามารถจอดได้ประมาณ 500 คัน อลังการมาก ซึ่งเหตุผลข้อนี้อาจจะเพราะที่นี่เขามีห้องประชุมและห้องจัดเลี้ยงทั้งหมด 10 ห้อง รองรับได้มากกว่า 900 ท่าน จะจัดงานประชุม สัมมนา งานแต่ง งานเลี้ยง รวมทั้งอีเว้นใหญ่ๆ ได้สบาย

ทริปนี้เราพักห้อง Suite ห้องกว้างอลังการมากก มุมพักผ่อน มุมทำงาน มีครบ ภายในห้องตกแต่งหรูหราสวยงาม ที่สำคัญเตียงนุ่มมากกกก นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มเลย ยังไม่พอ ห้องน้ำกว้างมากอีกด้วย มีอ่างให้เราแช่น้ำได้ด้วยนะ

พาไปดูห้องพักของเรากันมาแล้ว เราจะพาทุกคนไปถ่ายรูปสวยๆ กับมุมถ่ายรูปสุดเก๋ภายในโรงแรมกันค่ะ รับรองว่าได้รูปโปรไฟล์ใหม่สวยๆแน่นอนค่ะ

สำหรับเย็นนี้เราไม่ได้ออกไปไหน เลยทานมื้อเย็นกันที่โรงแรมเลยค่ะ ร้านอาหารของโรงแรมบรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว มื้อเย็นเราจัดเต็มเลยค่ะ เพราะว่าหิวมากกก และรสชาติอาหารที่นี่อร่อยมากด้วยน้าาา หรือใครอยากจะดริ๊งค์ก็สามารถสั่งค็อกเทลดีๆมาทานได้นะ อร่อยมากกกเหมือนกัน ใครมาพักที่นี่แนะนำเลยค่ะ

เมื่อคืนเราหลับไปแบบสบายมากกก เพราะที่นอนนุ่มมากกก ได้หลับเต็มอิ่มเลยค่ะ บวกกับท้องอิ่มๆมาด้วย อิอิ

เช้านี้เราเลยจะชวนทุกคนไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำกันหน่อย สระว่ายน้ำของที่นี่จะอยู่บนชั้น 3 ของห้องอาหาร สระกว้าง น่าเล่นน้ำมากๆเลยค่ะ และสระของที่นี่วิวดีอีกด้วยนะ เป็นวิวมุมสูงที่เราสามารถมองเห็นเส้นทางรถไฟได้เลยค่ะ และใครมาในวันที่อากาศดีมุมสระว่ายน้ำเราสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์แบบสวยๆด้วยนะ

(ใครอยากจะถ่ายรูปกับรถไฟเก๋ๆ สามารถสอบถามช่วงเวลาของรถไฟได้จากโรงแรมเลยนะคะ)

นอกจากสระว่ายน้ำที่น่าเล่นมากแล้ว ก็ยังมีฟิตเนสที่มีเครื่องออกกำลังกายครบมาก ได้ใจสายออกกำลังกายแน่นอน

ออกกำลังกายกันเสร็จแล้วเราจะชวนไปทานอาหารเช้ากันค่ะ อาหารเช้าที่นี่เขาจัดเต็มมากก มีเมนูต่างๆให้เราเลือกทานเยอะเลยค่ะ ใครชอบที่พักอาหารเช้าอลังการต้องพักที่นี่เลยนะ

ก่อนจะเช็คเอ้าท์กัน เราอยากจะชวนทุกคนไปเช็คอินคาเฟ่ Peaberry Cafe คาเฟ่น่ารักๆภายในโรงแรมกันค่ะ สายเครื่องดื่ม สายขนมห้ามพลาดเลยนะคะ อีกอย่างมุมถ่ายรูปน่ารักด้วยน้า

ใครกำลังมองหาที่พักนอนสบาย ห้องกว้าง อาหารอร่อย ที่จอดรถกว้างขวาง และยังเดินทางเที่ยวในอยุธยาได้สะดวก เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort

ที่อยู่ : 139/1-2 Moo 2 Bankao จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

Tel :  065 824 5364

FB : https://www.facebook.com/TheCavalliCasaResort/

Web : https://www.cavallicasaresort.com/

อยุธยา 2 วัน 1 คืน | 11 จุดเช็คอิน

อยุธยาจังหวัดใกล้กรุงเทพที่ไม่ได้มีแค่เมืองเก่า แต่สำหรับเมืองนี้ชิคมาก เป็นปลายทางที่เรามองว่าไปที่เดียวได้ครบตั้งแต่ไหว้พระ เช็คอินคาเฟ่ อาหารอร่อย และยังได้ของฝากกลับบ้านอีกด้วย

ทริปนี้เราขอพาทุกคนหนีเที่ยวอยุธยาผ่าน 11 จุดเช็คอินกันค่ะ

  1. วัดมเหยงคณ์

วัดมเหยงคณ์ ตั้งอยู่ใน ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งก่อนที่นี่เป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันที่นี่มีความน่าสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ให้นักท่องเที่ยวและชนรุ่นหลังแบบเรามาเที่ยวชม และที่นี่ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วยนะคะ

ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนให้วัดมเหยงคณ์เป็น โบราณสถานของชาติ ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2484 ทำให้วัดมเหยงคณ์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดอยุธยา

สำหรับใครที่หนีเที่ยวจังหวัดอยุธยา อยากมาเที่ยวชมประวัติศาสตร์และโบราณสถาน เราแนะนำให้มาวัดมเหยงคณ์เลยค่ะ นอกจากเราจะได้ชมโบราณสถานแล้ว มุมถ่ายรูปที่นี่ก็สวยมากเลยค่ะ

วัดมเหยงคณ์

ที่ตั้ง : หมู่ 2 ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 13000 

2. วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่อยู่ใน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของที่นี่คือ เศียรพระพุทธรูปที่อยู่ในรากไม้ ทำให้ที่นี่เป็น Unseen ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาไหว้พระที่อยุธยา เพราะเป็นภาพที่งดงามและแปลกตาในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นวัดมหาธาตุเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวชมโบราณสถานที่อยุธยาเลยล่ะค่ะ

วัดมหาธาตุ

ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

3. วัดใหญ่ชัยมงคล

วัดใหญ่ชัยมงคล อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของจังหวัดอยุธยาสำหรับนักท่องเที่ยวเลยค่ะ เพราะวัดแห่งนี้มี เจดีย์องค์ใหญ่ โบราณสถานต่างๆ สวยงาม  นอกจากนี้ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระนอนที่ วิหารพระพุทธไสยาสน์ และ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทุกคนเคารพนับถือ และไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ

ใครหนีเที่ยวมาอยุธยาแล้ว วัดใหญ่ชัยมงคลเป็นอีกวัดที่เราไม่ควรพลาดเลยค่ะ

วัดใหญ่ชัยมงคล

ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

4.Roasi Coffee

Roasi Coffee คาเฟ่ดีไซน์สวย และมีจุดเด่นคือมีมุมหน้าต่างวิวทุ่งนาสุดเก๋ มองยังไงก็เกาหลี เกาใจแน่นอน คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในปั้มน้ำมัน ESSO อ.บางปะหัน  ริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้ากรุงเทพ ห่างจากตัวเมืองอยุธยาประมาณ 20 นาที 

ตัวร้านเป็นอาคาร 2 ชั้น ภายในร้านตกแต่งสวยมากกกก โดยธีมของตกแต่งในร้านจะเปลี่ยนไปตามเทศกาลต่างๆ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ ก็เลยได้มุมดอกกุหลาบสวยๆมาด้วยค่ะ แต่โซนที่เราชอบมากที่สุด ชอบมากถึงขั้นให้คาเฟ่นี้เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ต้องมาให้ได้เลยค่ะ โซนนี้อยู่บนชั้นสองเป็นมุมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสีเขียวของทุ่งหน้า เป็นมุมที่มองด้วยตาก็ว่าสวยแล้ว ถ่ายรูปออกมายิ่งสวยเข้าไปใหญ่เลยค่ะ

ส่วนเมนูเครื่องดื่มของที่นี่ กาแฟถือว่าดีมากเลยค่ะ มีขนมให้เราเลือกทานเยอะมากด้วยนะ

Roasi Coffee

ที่อยู่ : ปั๊ม Esso ถนนสายเอเชียขาเข้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

เปิด : 8.00-19.00 น.

Tel : 065 464 9239

FB : https://www.facebook.com/RoasiCoffee/

5. The Summer Coffee Company (Old Town)

อีกหนึ่งคาเฟ่ที่ถ้ามาอยุธยาไม่มาเช็คอินที่นี่ถือว่าพลาดมาก เพราะนอกจากกาแฟจะดีมาก มุมถ่ายรูปก็ปังมากกกก (เราได้มาเป็นร้อย 555)

The Summer Coffee Company เป็นโรงคั่วที่ขายเมล็ดกาแฟทางออนไลน์อยู่แล้ว ทำให้กาแฟร้านนี้อร่อยแน่นอน ร้านตั้งอยู่ในเมืองตรงกลางซอยตลาดองค์การโทรศัพท์เลยค่ะ หาไม่ยากขับรถตาม google maps มาได้เลย

ตัวร้านออกแบบมาให้แสงธรรมชาติเข้าถึงทุกส่วน ทำให้ภายในร้านบรรยากาศดีมากกก เหมาะกับการนั่งเล่นในวันสบายๆ หรือนั่งทำงานก็ได้ สิ่งที่เราชอบมากคือการใช้สีแบบมินิมอลและสีอิฐตามบรรยากาศเมืองเก่าอยุธยา เมื่อเจอกับแดดแรงๆ ที่นี่เลยกลายเป็นคาเฟ่ที่แสงสวยมาก ถ่ายรูปออกมาคือปังทุกมุม ใครชอบดื่มกาแฟแบบเราต้องหลงรักที่นี่ เพราะเมนูกาแฟมีเยอะมากกกก กาแฟที่นี่คือดีย์ !!

The Summer Coffee Company (Old Town)

ที่อยู่ :   4 90 ถ. ราเมศวร ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด : 8.00-18.00 น.

Tel : 093 353 3883

FB : https://www.facebook.com/summer.coffee.co/

6. Busaba Cafe & Bake Lab

Busaba Cafe & Bake Lab คาเฟ่แนวห้องแล็ป แนวนักทดลอง ความเก๋ของคาเฟ่แห่งนี้คือวิวกระจกที่มองเห็นโบราณสถาน ให้ความเป็นเมืองเก่าอยุธยาแต่มีความชิค ความเก๋ ปะปนเต็มไปหมด

คาเฟ่แห่งนี้แปลงโฉมตึกแถวอายุ 30 ปีให้กลายเป็น ห้องทดลองเบเกอรี่ของ “บุษบา” แน่นอนว่าขนมที่นี่หน้าตาน่ารักและน่าทานมากกก แต่ไม่ใช่แค่ขนมนะที่น่าทาน เพราะเราชอบเมนูกาแฟของที่นี่มากเหมือนกัน ดีงามสุดๆ

และแน่นอนมุมที่ทำให้เราอยากมาคาเฟ่แห่งนี้มากนั้นก็คือออ วิววัดราชบูรณะ ที่มุมนี้คือปังมากก

Busaba Cafe & Bake Lab

ที่อยู่ : 9 25 ซอย ชีกุน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด : 9.00-18.00 น.

Tel : 064 040 3353

FB : https://www.facebook.com/busabacafebakelab/

7. TBAR

TBAR คาเฟ่ดีไซน์เก๋ที่เชื้อเชิญให้เราเข้าไปทำความรู้จัก ส่วนตัวเรารู้จักคาเฟ่แห่งนี้ผ่านเพื่อนบนแพล็ตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย เราชอบมุมหน้าร้านที่เก๋ ทริปอยุธยาทริปนี้เลยได้โอกาสตามรอยไปเช็คอินกันหน่อย

เมื่อเข้ามาในร้านแล้วทำให้รู้ว่า คาเฟ่แห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าร้านที่เก๋ เพราะภายในก็เก๋มากเช่นกัน การใช้โซนสี เฟอร์นิเจอร์ และบรรยากาศภายในร้าน ทุกอย่างลงตัวกำลังดีไม่มากไม่น้อย เมนูเครื่องดื่มก็ดีมากกก

ใครมาอยุธยาเราไม่อยากให้พลาดที่นี่เลยค่ะ

TBAR

ที่อยู่ : ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด

เปิด : 10.00-18.00 น. หยุดทุกวันพุธ

Tel : 092 408 4848

FB : https://www.facebook.com/tbar.ayutthaya/?locale=th_TH

8. The Cavalli Casa Resort

ทริปนี้หนีเที่ยวมานอนกันที่ The Cavalli Casa Resort ที่พักบรรยากาศดี อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอยุธยา (ใช้เวลาไปในเมืองอยุธยาประมาณ 15 นาที)

The  Cavalli Casa Resort หรือ เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท เป็นที่พักขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 35 ไร่ มีห้องพัก 120 ห้อง ตัวอาคารแบ่งเป็นอาคาร   A อาคาร B   นอกจากห้องพักที่นี่จะเยอะแล้ว อยากจะบอกว่าที่จอดรถก็เยอะมากเช่นกัน

ทริปนี้เราพักห้องแบบ SUITE Room ห้องพักขนาดใหญ่ มุมในห้องเยอะมากก ตั้งแต่เตียงคิงซ์ไซส์ มุมโซฟาเบด มุมทำงาน ห้องแต่งตัว และห้องน้ำที่มีพื้นที่กว้างพร้อมกับอ่างสำหรับแช่ตัวด้วย

ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ห้องกว้างนะคะ เพราะว่าสระว่ายน้ำที่นี่ก็ดีมาก มีมุมที่เห็นรถไฟผ่านด้วย (ช่วงเวลาของรถไฟสามารถถามโรงแรมได้เลย) ยังค่ะ ยังไม่หมด ที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมากกก มีห้องอาหารที่เปิดบริการตลอดทั้งวัน มื้อเย็นเราก็เลยฝากท้องที่นี่เลย ส่วนอาหารเช้าก็อร่อยมากกก

ใครสายคาเฟ่ที่นี่ก็มีคาเฟ่นะคะ เครื่องดื่ม และขนมมีให้เลือกทานได้จุใจเลย ใครหนีเที่ยวอยุธยา กำลัมองหาที่พักสวย ห้องใหญ่ พักสบาย อาหารอร่อยทุกมื้อ เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ

The Cavalli Casa Resort

ที่อยู่ : 139/1-2 Moo 2 Bankao จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

Tel : 065 824 5364

FB : https://www.facebook.com/TheCavalliCasaResort/?locale=th_TH

Web : https://www.cavallicasaresort.com/suite-room

9. ก๋วยเตี๋ยวเรือ (ป้าเล็ก) เจ้าเก่า

มาอยุธยาถ้าไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเรือ เท่ากับว่าเรายังไม่ถึงอยุธยา (ไม่รู้ใครบอกนะ จำเขามา555) ทริปนี้เลยถามเพื่อนคนอยุธยา ว่าร้านไหนอร่อย เพื่อนแนะนำเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ (ป้าเล็ก) เจ้าเก่า

ที่ร้านป้าเล็กจะมีหมู และ เนื้อ จะมีแค่ชามเล็กเท่านั้น ราคาชามละ 20 บาท (ทั้งหมูและเนื้อ) เรากับเพื่อนจัดไปคนละ 5 ชาม อร่อยมั้ยไม่ต้องถาม เพราะอิ่มจนจะกลิ้งกลับ

ก๋วยเตี๋ยวเรือ (ป้าเล็ก) เจ้าเก่า

ที่อยู่ :  ถ. บางเอียน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด :8.00-17.00 น. หยุดทุกวันพุธ

Tel : 089 804 7418

10. กรุงเก่า “เตี๋ยวเรือ”

บุคคลที่ชอบก๋วยเตี๋ยวเรือมากแบบเรา มาอยุธยาทั้งทีก็ขอกินก๋วยเตี๋ยวเรือมันทั้ง 2 วันเลย วันนี้เรามาทานกันที่ กรุงเก่า “เตี๋ยวเรือ” ร้านนี้ออกแนวเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือแบบฟิวชั่นหน่อย สโลแกนของร้านคือไม่ต้องปรุง เพราะทางร้านปรุงมาให้แล้ว แซ่บ จัดจ้าน อร่อยมากทีเดียวค่ะ

กรุงเก่า”เตี๋ยวเรือ”

ที่อยู่ : 3/1 ม.1 ปรตูชัย อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด :8.30-16.30 น.

Tel : 092 685 7770

11. โรตีสายไหม บังอิมรอน

จุดเช็คอินสุดท้ายก่อนที่เราจะบอกลาอยุธยาในทริปนี้ เราขอพาทุกคนมาแวะซื้อของฝากกันหน่อยค่ะ นั่นก็คือ โรตีสายไหม และถึงแม้โรตีสายไหมจะมีหลากหลายเจ้ามากๆๆ แต่เราถามเพื่อนคนอยุธยามาแล้วว่า เจ้าไหนอร่อย เพื่อนบอกว่า ต้องบังอิมรอน อร่อยแน่นอน แป้งสด เพราะนั่งทำกันที่หน้าร้านเลย

ใครมาอยุธยาอย่าลืมแวะไปลองน้าว่าอร่อยเหมือนที่เราแนะนำมั้ย

โรตีสายไหม บังอิมรอน

ที่อยู่ : ถ. อู่ทอง ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด

เปิด : 7.00-20.00 น.

Tel : 085 812 4288

Singapore ที่คิดถึง

ทริปสุดท้ายก่อนเราจะได้รู้จักโควิด เราไปสิงคโปร์มาค่ะ

ทริปแรกของปี 2023 ครั้งที่เราเริ่มอยู่กับโควิดเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ประเทศที่เราเลือกหนีเที่ยวประเทศแรกก็คือ “สิงคโปร์”

ทริปนี้เป็นทริปที่เราไปสิงคโปร์ครั้งที่ 5 หรือ 6 แล้วไม่แน่ใจ แต่รีวิวนี้จะเป็นรีวิวแรกที่เราจะเล่าการเดินทางในประเทศสิงคโปร์ของเราแบบละเอียด เผื่อว่ารีวิวนี้จะไปกระตุ้นต่อมเที่ยวของใครสักคนให้ออกเดินทาง

ทริปนี้เราหนีเที่ยวสิงคโปร์ 4 วัน 3 คืน เป็นทริปหนีเที่ยวที่ไม่ได้แพลนอะไรมากมาย เที่ยวแบบสบายๆ อาจจะไม่ได้ไปตามแหล่งเช็คอินดังๆ (เพราะหลายๆที่เราเคยไปมาแล้ว)

สิงคโปร์เป็นประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอ Visa เราสามารถเที่ยวสิงคโปร์ได้ภายในระยะเวลา 30 วัน

ทริปนี้เราเดินทางจากหาดใหญ่ด้วยสายการบิน Scoot นะคะ ใครอยู่หาดใหญ่อยากจะหนีเที่ยวไปสิงคโปร์ แอบกระซิบว่า ถึงแม้จะมีสายการบินเดียวที่ให้บริการแบบบินตรง แต่ราคาน่ารักกว่าเริ่มต้นจากกรุงเทพมากเลยค่ะ อาจจะเพราะจากหาดใหญ่ไปสิงคโปร์ใช้เวลาประมาณ 90-100 นาที

ลืมบอกว่าจากหาดใหญ่เราเดินทางคนเดียวนะคะ และวันแรกที่จะเที่ยวสิงคโปร์ก็เที่ยวคนเดียวด้วยค่ะ แต่ทริปนี้มีเพื่อนหนีตามมาด้วยจากกรุงเทพในช่วงค่ำวันที่สองของทริปนะคะ (งงมั้ย)

เข้าสิงคโปร์ 2023 ต้องทำอะไร

  • กรอก SG Arrival Card ในเว็บหรือแอปพลิเคชั่น MyICA Mobile

วิธีกรอกไม่ยากค่ะ เราสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาไทยได้ เราสามารถกรอกได้ล่วงหน้า 3 วัน เราแนะนำว่าให้อัพโหลดใบรับรองการฉีดวัคซีนของเราด้วยนะคะ และหากใครที่ลืมกรอกสุดท้ายก่อนเราจะไปเข้าคิวผ่าน ตม. เราก็จะต้องกรอกแบบออนไลน์อยู่ดี ดังนั้นกรอกไปเลยง่ายสุดค่ะ

ใครจะกรอกในเว็บ สามารถเข้าไปกรอกได้ที่ >> https://eservices.ica.gov.sg/sgarrivalcard/

  • ใบรับรองการฉีดวัคซีน

เราแนะนำให้แคปหน้าจอเอาไว้ เผื่อว่า ตม. จะเรียกตรวจ แต่ทางที่ดี ให้อัพโหลดไปตั้งแต่กรอกใบ arrival card

ตม.ถามอะไรบ้าง

เรื่องคำถามอาจจะช่วยอะไรทุกคนไม่ได้ เพราะของเรา ตม. ไม่ถามอะไรเลย อาจจะเพราะเราเคยมาเที่ยวสิงคโปร์ประมาณ 5-6 ครั้งแล้ว และแต่ละครั้งเราอยู่ไม่เคยเกิน 5 วันเลย

สำหรับใครที่เป็นนักท่องเที่ยว เป็นผู้หญิงมาคนเดียวแบบเรา มั่นใจ สบตา ตม. เอาไว้ ผ่านได้สบายๆแน่นอนค่ะ

วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง

วิธีเดินทางจากสนามบินสิงคโปร์เข้าเมืองที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือ การใช้ MRT วิธีการใช้รถไฟฟ้าสิงคโปร์ก็ง่ายมากค่ะ เราแนะนำให้ทุกคนโหลดแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า SG MRT เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับใช้ในการเช็คสายรถไฟฟ้า ใช้งานง่ายมากค่ะ และค่าเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองสิงคโปร์จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 $

อัตราแลกเปลี่ยนเงินสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 25-26 บาท ต่อ 1 ดอลล่าสิงคโปร์

หลังผ่าน ตม. มาแล้ว รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ให้เรามองหาป้ายที่เขียนว่า Train to City แล้วเดินตามมาเรื่อยๆเลยค่ะ เพราะป้ายจะพาเราไปที่สถานีรถไฟฟ้า

สำหรับใครที่หนีเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรก เราขอแนะนำวิธีการใช้แอปพลิเคชั่นแบบเข้าใจง่ายๆดังนี้ค่ะ

  1. กรอกสถานีต้นทางที่เราอยู่ และ กรอกสถานีปลายทางที่เราจะไป

สำหรับทริปนี้เราพักย่านเกลัง ซึ่งจะต้องเดินทางมาถึงที่สถานีที่ชื่อว่า Ajiunied และสถานีต้นทางของเราคือ Changi Airport

2. สำหรับรถไฟฟ้าที่ออกจากสนามบินสิงคโปร์ เราจะต้องไปเปลี่ยนสายที่ Tanah Merah วิธีการเปลี่ยนสายก็ไม่ยากค่ะ แค่เดินไปรางตรงข้ามกับที่เราลงมาแค่นั้น (ใครมาครั้งแรกไม่ต้องกลัวว่าจะหลงนะคะ เพราะ 95% บนรถไฟที่มาจากสนามบิน ทุกคนจะลงเปลี่ยนสายทั้งหมดค่ะ )

นั่งรถเมล์ในสิงคโปร์

อย่างที่เราได้เล่าไปมาเราเคยมาสิงคโปร์หลายครั้งแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็จะเดินทางด้วย mrt เป็นหลัก แต่ทริปนี้โรงแรมที่เราพักเดินทางด้วยรถเมล์สะดวกกว่า ทำให้ทริปนี้เราเลยได้นั่งรถเมล์ในสิงคโปร์เป็นครั้งแรก แล้วค้นพบว่าจริงๆการเดินทางด้วยรถเมล์ทำให้เราเที่ยวสิงคโปร์ได้ง่ายขึ้นมากเลยค่ะ

วิธีการเช็คป้าย และสายรถเมล์ที่เราจะเดินทางในสิงคโปร์ก็ไม่ยากค่ะ เราแค่ต้องใช้แอพพลิเคชั่น Google maps เข้ามาช่วยในการเช็ครถเมล์ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นจุดที่ป้ายไหน รถป้ายไหน รถสายอะไร จะมาถึงตอนไหน เราสามารถใช้ google maps เช็คทุกอย่างได้เลยค่ะ

Hotel

ทริปหนีเที่ยวสิงคโปร์ในครั้งนี้เราเลือกมาพักโรงแรมที่ไม่เคยพักมาก่อนค่ะ เพราะด้วยเหตุผลคือห้องกว้างและราคาไม่แรง ที่นี่ชื่อว่า Hotel 81 Premier Star สาขานี้อยู่ในย่าน Gaylang ซึ่งบางคนบอกว่าย่านนี้น่ากลัว เพราะมีธุรกิจกลางคืนเยอะ แต่สำหรับเรามองว่าปกติค่ะ หน้าโรงแรมไม่เปลี่ยวนะถึงแม้จะมีธุรกิจกลางคืนเต็มไปหมดก็ตาม ออกแนวคึกครื้นด้วยซ้ำ

วิธีเดินทางมายังโรงแรม : สาขานี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า Aljunied (สายสีเขียว)

  • ให้เรานั่ง mrt มาลงที่สถานี Aljunied ทางออก A หรือ B ก็ได้
  • ต่อรถเมล์ที่มีป้ายอยู่ตรงหน้าสถานี mrt ได้เลย โดยสามารถเช็ครถได้จาก Google maps แล้วนั่งมาลงที่ป้ายถัดไปเลย (1ป้าย) ปากซอย Geylang 18 จากนั้นก็เดินเข้าซอยประมาณ 200 เมตรก็จะถึงโรงแรม

เหตุผลที่เราเลือกพักที่นี่เพราะว่า ห้องกว้างสำหรับห้องที่มี 2 เตียง ในสิงคโปร์ถ้ามีพื้นที่ในห้องไม่แคบเกินไป ราคาก็จะค่อนข้างแรงค่ะ แต่ที่นี่ภายในห้องมีพื้นที่ เป็นห้อง2เตียงที่ไม่แคบ และที่สำคัญราคาน่ารัก ประมาณ 2500 บาท/คืน เราหารกับเพื่อน ราคาพอๆกับพักโฮสเทลเลยค่ะ

ภายในห้องจะมีขนาดกำลังดี สะอาด ห้องน้ำไม่แขบจนหมุนตัวไม่ได้ แต่ตัวอ่างล้างหน้าจะออกมาอยู่นอกห้องน้ำนะคะ มีน้ำดื่มให้วันละ 2 ขวด มีกาต้มน้ำ ตู้เซฟ ทีวี เตียงนุ่มสบาย รวมๆเราถือว่าดีเลยค่ะ

Day 1 : ผู้หญิงเดินทางคนเดียว นั่งรถเมล์ ทักทายพี่สิงโต

วันแรกของทริปเราเดินทางจากหาดใหญ่ บินตรงมาลงที่สิงคโปร์เลย ทำให้กว่าจะเข้าที่พัก ก็ค่ำแล้ว วันนี้เราไม่มีแพลนจะไปเที่ยวไหน สุดท้ายเก็บของแล้วเลยนั่งรถเมล์ไปเดินเล่นที่ Merlion Park

Merlion park

Merlion สิงโตครึ่งปลาที่กำลังพ่นน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ ใครมาสิงคโปร์แล้ว ไม่มาทักทาย Merlion ก็เหมือนมาไม่ถึงสิงคโปร์

วันนี้เราเลยมาเดินเล่นกันที่ Merlion park สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา และยังเป็นสถานที่พักผ่อน ออกกำลังกายของคนสิงคโปร์ ใครจะมาสิงคโปร์ เราแนะนำว่าช่วงเย็นๆมาเดินเล่นแถวนี้กันค่ะ บรรยากาศดี แม้บางวันนักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อย แต่ที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ที่อยากให้ปักหมุดมากันนะ

วิธีการเดินทาง : mrt สถานี Raffles Places ทางออก G (และให้เดินตาม google maps ต่อนะคะ ไปครั้งแรกอาจจะงงๆหน่อย)

Day 2 : เที่ยวคนเดียว สวนลอยฟ้า และ เพื่อนหนีตามมาเที่ยวด้วย

วันที่สองของทริปนี้เรายังคงเที่ยวคนเดียวอยู่ แต่คืนนี้เพื่อนเราจะหนีเที่ยวตามมาจากกรุงเทพ วันนี้เราไม่ได้มีแพลนอะไรมากมาย มีสิ่งที่อยากไป อยู่แค่ 3 ที่ (ขนาดไม่มากมาย 5555) วันนี้เราเดินทางด้วยรถเมล์เป็นหลักเหมือนเดิม

รถเมล์สิงคโปร์บางสายบางคัน จะเป็นรถเมลล์แบบสองชั้น เราโชคดีวันนี้ชั้นบนเก้าอี้หน้าสุดว่าง เลยได้ทัวร์ชมเมืองแบบราคาถูกมากๆ

% Arabica Singapore CapitaSpring

เราเป็นหนึ่งในแฟนคลับของกาแฟ %Arabica และตอนนี้ในสิงคโปร์ก็มีอยู่หลายสาขา วันนี้เราเลยไปสาขาที่ใต้ตึก Capita Spring สาขานี้ลูกค้าส่วนใหญ่คือพนักงานออฟฟิศในย่านนี้ เป็นสาขาที่ไม่มีคิวเลย เพราะว่าไม่มีที่นั่งของร้าน

วิธีเดินทาง : เราแค่นั่งรถเมล์มาลงป้ายใกล้สุดแล้วเดินต่อมาเรื่อยๆ

National Gallery Singapore

หลังจากได้กาแฟแก้วโปรดแล้ว จุดหมายที่สองของเราในวันนี้คือ National Gallery Singapore แนะนำใครที่มาสิงคโปร์ตรงกับวันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ อยากเดินเล่นมิวเซียม เราแนะนำเลยค่ะ เพราะสามวันที่เราบอกไป เป็นวันที่เราสามารถเข้าได้ฟรี ไม่ต้องซื้อตั๋วใดๆ ถือว่าดีมากๆๆเลยค่ะ

ใครมาเดินเล่นที่นี่แนะนำว่าควรมีเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะว่าที่นี่กว้าง มีผลงานต่างๆให้เราเดินชมเยอะมาก ใครมีเวลาเยอะเดินที่นี่สนุกเลยค่ะ

การเดินทาง :

  • Mrt สถานี City Hall  ทางออก B
  • Mrt สถานี Clarke Quay ทางออก E

ปล. ทริปนี้เราไปที่นี่สองวันเลยมีรูปที่มีเพื่อนไปด้วยนะคะ

ArtScience Museum

วันนี้เป็นวันที่เราเที่ยวคนเดียว เลยเที่ยวแบบสบายเลยค่ะ อยากไปไหนก็ไปได้ วันนี้เลยขอพาตัวเองไปอีกหนึ่งมิวเซียม ที่นี่คือ ArtScience Museum

ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ ถ้าอ่านจากชื่อที่แปลเป็นไทย อาจจะไม่ค่อยน่าไปเดินเล่นสักเท่าไหร่ แต่เรารู้จักที่นี่จากไอจีที่มีคนอัพรูปมิวเซียมแห่งหนึ่งที่มีภาพเคลื่อนไหวสีสวยๆ เหมือนเราได้หลุดเข้าไปในดาวไหนสักแห่ง ที่นี่เป็นมิวเซียมที่ผสมผสานระหว่างศิลปะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน (ยิ่งอธิบายยิ่งงง เอาเป็นว่าไปเดินเล่นกันดีกว่าค่ะ)

สำหรับคนที่จะมาเที่ยวที่นี่คนเดียว (แบบเรา) ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าถ่ายรูปยากมากกก

ค่าเข้า : (ประมาณ) 400 บาท แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปเลยนะคะ

วิธีเดินทาง :  mrt สถานี Bayfront ทางออก D 

Marina Barrage

ออกจากมิวเซียม เราเปิดกูเกิ้ลแมปส์แล้วเดินไปยังจุดหมายปลายทางที่เราอยากไปที่สุดในทริปนี้ ที่นี่คือ Marina Barrage หรือ เขื่อนมารีน่า ถ้าบอกชื่อทุกคนอาจจะงงๆว่ามันคือที่ไหน เราขออธิบายง่ายๆก็คือ ภาพสนามหญ้าที่มีฉากหลังเป็นตึกสำคัญๆของสิงคโปร์ เป็นภาพที่ดูแค่ผ่านตาก็รู้เลยว่าที่นั่นคือประเทศไหน

วิธีเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างจะต้องเดินไกลหน่อยนะคะ เราแนะนำให้มาตอนเย็นๆ บรรยากาศดีมากกก เอาเสื่อหรือแผ่นรองนั่งมาด้วย แล้วใครจะซื้อขนม ของกินเล่นก็แนะนำเลย เพราะว่าคนสิงคโปร์เองจะนิยมมาปิคนิคกันที่นี่ค่ะ สวนแห่งนี้อยู่บนชั้น 3 ของตึกนะคะ เราสามารถเดินขึ้นบันได หรือ ขึ้นลิฟต์มาก็ได้ค่ะ

วิธีการเดินทาง : mrt สถานี Gardens by the bay (ไม่มีรถไฟจอดสถานีนี้นะคะ) แต่ให้เดินมาออกทางออก 1 ของสถานีนี้ แล้วสวนจะอยู่ทางขวามือ เดินอีก 500 เมตรก็ถึงแล้ว

Day 3 : เพื่อนหนีตามมาเที่ยวด้วย ข้าวมันไก่ และ มุมถ่ายรูปสุดฮิต

วันนี้เป็นวันที่สามของทริปสิงคโปร์ วันนี้เราไม่ได้เที่ยวคนเดียวแล้วค่ะ เพราะมีเพื่อนตามมาเมื่อคืนตอนดึกจากกรุงเทพ เช้าวันนี้มีเพื่อนแล้วเตรียมไปตะลุยกันค่ะ

% Arabica Singapore Arab Street

สาขานี้ถือเป็นสาขาแรกของ % Arabica coffee ในสิงคโปร์เลยค่ะ เราเคยมาสาขานี้แล้วเมื่อตอนที่เปิดสาขาใหม่ๆ ตอนนั้นคนเยอะมากกก ผ่านมาหลายปี (และช่วงโควิดด้วย) กลับมาอีกครั้งวันนี้คนยังเยอะเหมือนเดิม

ใครมาเที่ยวถ่ายรูปเล่นที่ arab street หรือ Haji land มีเวลาว่างแวะมาเช็คอินที่สาขานี้กันค่ะ

ร้านข้าวมันไก่เจ้าดัง

เที่ยงวันนี้เราตั้งใจจะไปชิมข้าวมันไก่สิงคโร์เจ้าดัง โดยร้านนี้อยู่ที่ศูนย์อาหาร Maxwell Food Centre ในย่านไชน่าทาวน์ ร้านนี้ชื่อว่า Tian Tian Hainanese Chicken Rice เอาจริงๆไปถึงแล้วหาไม่อยากเลยค่ะ เพราะเป็นร้านข้าวไก่ที่แถวยาวที่สุดเลยค่ะ

รสชาติอร่อยดีนะคะ ไก่ไม่ตบแบบบ้านเรา แต่ก็จะแบบเลี่ยนๆไปหน่อย เอาเป็นว่าใครอยากลองข้าวมันไก่สิงคโปร์สักครั้ง เราแนะนำว่าให้มาเลยค่ะ

มุมฮิต มุมปัง

จริงๆแล้วสิงคโปร์มีมุมถ่ายรูปฮิตๆเยอะมากกก วันนี้เราถือว่าไหนๆก็มาไชน่าทาวน์แล้ว เลยถือโอกาสมาถ่ายรูปมุมที่เก็บลิสต์มานาน ที่นี่ก็คือตึก potato head

S.E.A Aquarium

ตลอดบ่ายวันนี้เรายกเวลาให้กับ S.E.A. Aquarium ที่นี่เป็นอควาเรียมที่ใหญ่ระดับโลก ใครมาที่นี่แนะนำว่าควรมีเวลาอย่างน้อย 3 ชม. เพราะนอกจากที่นี่จะกว้าง มีสัตว์น้ำจัดแสดงเยอะ หากหลายโซน มุมถ่ายรูปก็เพียบ

เรากับเพื่อนชอบการเที่ยวอควาเรียมมากกกกก ทริปนี้เลยใช้เวลาอยู่ที่นี่เพลินเลยค่ะ การนั่งมองปลาว่ายน้ำไป ว่ายน้ำมานี่เพลินมากจนเราไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเลยค่ะ ใครที่จะมาเที่ยวที่นี่เลี่ยงช่วงเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดได้จะดีมากเลยค่ะ

ค่าเข้า : 1050 บาท (ประมาณ) แนะนำซื้อล่วงหน้าผ่านแอปเอเจนซี่ต่างๆไปเลยค่ะ

การเดินทาง : เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้านะคะ นั่ง mrt มาลงที่สถานี HarbourFront ทางออก C เดินต่อมาที่ห้าง VivoCity ชั้น 3 เพื่อต่อรถไฟสาย Sentosa Express แล้วมาลงที่สถานี Waterfront

Marina Bay Sand

วันนี้เที่ยวกับเพื่อนเราก็จะใช้เวลาคุ้มหน่อย ถ้ามาคนเดียวเราน่าจะเรื่อยๆเปื่อยๆ 555 คืนนี้เลยไปเดินเล่นกันที่ marina bay sand แต่เราไม่ได้เดินเล่นในห้าง หรือพาไปรีวิวโรงแรมนะคะ เราออกมาเดินเล่น ดูบรรยากาศริมอ่าวกันค่ะ เจอแอปเปิ้ลสาขาใหม่สวยมากกก

ใครจะมาดูโชว์แสงสีเสียงของสิงคโปร์ ก็มาที่นี่เลยนะคะ

อาทิตย์ – พฤหัส แสดง 2 รอบ : เวลา 20.00 น.  และ  21.00 น.
ศุกร์ – เสาร์ แสดงวันละ 3 รอบ : เวลา 20.00 น. ,  21.00 น. และ 22.00 น.

วิธีเดินทาง : mrt สถานี Bayfront ทางออก D

Mongkok Dimsum

คืนนี้เรายังไม่จบค่ะ เพราะว่าเราจะชวนทุกคนไปกินติ่มซำกันตอนดึก ร้านนี้ชื่อว่า Mongkok Dimsum เป็นร้านติ่มซำที่เปิด 24 ชม. ร้านกับโรงแรมเราอยู่ห่างกัน 1 ป้ายรถเมล์ โดยร้านจะอยู่ปากซอย Gaylang 8

คืนนี้จบโปรแกรมเที่ยวของเราแล้วค่ะ เป็นวันที่เที่ยวคุ้มมากกกกก และนี่คือโฉมหน้าของคนเที่ยวยันเที่ยงคืน เดินจนตีนจะแตก 5555

Day4 : วันสุดท้ายของทริป ตามหาที่ถ่ายรูป

วันนี้เราตื่นกันสายๆ มีเป้าหมายแรกที่จะไปคือพาเพื่อนเราไปทักทายพี่สิงโต ใครมา Merlion park ตอนกลางวันนี่สู้มากกก เพราะแดดร้อนมากกกก แต่มาตอนกลงวันภาพก็สวยมากเหมือนกันนะ

Street Art และ มุมถ่ายรูปทั่วประเทศ

ทักทายพี่สิงโตเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปหามุมถ่ายรูปยอดฮิตที่อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้กันต่อค่ะ ที่นี่คือตึกสีๆ ชื่อทางการคือ อาคารกองบัญชาตำรวจเก่า (Old Hill Police Station) เราเดินมาตาม google maps แล้วก็มาถึงแล้วค่ะ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เราไม่มีแพลนอะไรมากไปกว่าการถ่ายรูปเล่นกับมุมสวยๆทั่วสิงคโปร์ ต้องบอกว่าบางพิกัด ให้เราอธิบายวิธีการเดินทางเราก็อธิบายไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเราก็เดินไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เจอด้วยความบังเอิญ

เราชอบสิงคโปร์ที่ฟุตบาทเดินสะดวก มีมุมถ่ายรูปกระจายไปเที่ยวเมือง มันทำให้นักท่องเที่ยวแบบเราเพลินมาก แม้อากาศที่นี่จะร้อนมาก (แบบเมืองไทย) ก็ตาม

Jewel Changi Airport

ใครมาเที่ยวสิงคโปร์วันกลับเราแนะนำให้เผื่อเวลาสำหรับการไปเดินเที่ยวในสนามบินชางงี สนามบินที่ติดอันดับโลก และทริปนี้เราจะชวนไปเที่ยวกันที่ Jewel Changi Airport ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ภายในมีน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก

ใครจะเดินทางกลับก็เผื่อเวลามาที่นี่เยอะๆเลยค่ะ เพราะนอกจากจะไปดูน้ำตก การแสดงแสงสีเสียง (ตอนเราไปไม่มีนะ 555) ภายใน Jewel ยังอัดแน่นไปด้วยร้านค้าต่างๆ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าเราให้หายไปอย่างง่ายได้เลยค่ะ

วิธีเดินทาง : mrt สถานี Changi Airport

สิงคโปร์เราอาจจะไม่เหมือนใคร ไม่ได้ไปเก็บแต้มจุดถ่ายรูปมากนัก แต่มันเป็นสิงคโปร์ที่เราคิดถึง

อุทัยธานี ครั้งแรก 2 วัน 1 คืน | 10 จุดเช็คอิน

“อุทัยธานี” เป็นจังหวัดที่อยู่ส่วนไหนของแผนที่ประเทศไทยว่ะ ??

ประโยคข้างต้นเป็นบทสนทนาของเรากับเพื่อน

ทริปนี้เป็นทริปหนีเที่ยวจังหวัดอุทัยธานีครั้งแรกของเรา เรามีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ไหนๆก็เป็นครั้งแรกแล้ว เราขออาสาพาทุกคนที่ยังไม่รู้จักอุทัยธานีหนีเที่ยวไปด้วยกันในทริปนี้ค่ะ

ทริปนี้เราขอพาทุกคนหนีเที่ยวทำความรู้จักอุทัยธานีผ่าน 10 จุดเช็คอินที่น่าสนใจกันค่ะ

  1. วัดท่าซุง

สถานที่แห่งแรกที่เราอยากจะชวนทุกคนมาเช็คอินกันเมื่อมาถึงจังหวัดอุทัยธานี สถานที่แห่งนี้ก็คือ วัดท่าซุง วัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุทัยธานี ใครมาอุทัยธานีแล้วก็แนะนำให้มาที่พระวิหารแก้วที่ ประดิษฐาน พระพุทธชินราชจำลอง และสรีระสังขารของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อย ใครมาอุทัยธานีแล้วก็อยากแนะนำให้แวะมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันค่ะ

วัดท่าซุง

วิหารแก้วจะเปิดให้เข้าชม 2 รอบ คือ เช้า: เปิด 9.00 – 11.45 น. และ บ่าย: เปิด 14.00 – 16.00 น.

2. X-bar Café

มาถึงจังหวัดอุทัยธานีแล้ว เราไปหากาแฟดีๆสักแก้วกันค่ะ คาเฟ่แรกที่เราอยากแนะนำก็คือ X-bar cafe คาเฟ่บรรยากาศเท่ห์ๆ ของอุทัยธานี คาเฟ่แห่งนี้เน้นเมนูของเครื่องดื่ม กาแฟอร่อยมากทีเดียวค่ะ และที่สำคัญที่ชอบมากคือ ราคาแต่ละเมนูน่ารักมาก ใครหนีเที่ยวมาอุทัยธานีอยากดื่มกาแฟอร่อยๆสักแก้วเราแนะนำที่นี่เลย

X-bar Café

ที่อยู่ :  ซอย รักการดี เมือง อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี 61000

เปิด : 7.00-16.30 น.

Tel : 080 966 2328

FB : https://www.facebook.com/XbarcafeUthaithani/

3. เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์

ทริปนี้เราหนีเที่ยวอุทัยธานี 2 วัน 1 คืน โดยที่พักที่เราอยากมาพักมากที่สุดในอทุยธานีก็คื “เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์”

เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์ ที่พักน่ารักที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะเทโพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในตัวเมืองอุทัยธานี พื้นที่โดยรวมของที่พักไม่มากนัก แต่ที่นี่ออกแบบบ้านพักให้มีความเป็นส่วนตัวมาก ภายในห้องพักของเราก็น่ารักมากก ห้องกว้าง แบ่งสัดส่วนระหว่างโซนเตียง พื้นที่พักผ่อน และห้องน้ำได้ดีเลย เราชอบที่นี่มาก มุม แสง ทุกอย่างถูกจัดมาให้สวยมาก

บรรยากาศที่พักตอนเย็นก็ดีมากค่ะ เราแค่ข้ามถนนคอนกรีตเล็กๆ ก็สามารถชิลกับริมน้ำเจ้าพระยาได้แล้ว ราคาที่พักที่นี่จะรวมอาหารเช้าด้วยนะคะ โดยเมนูอาหารทางที่พักจะให้เราเลือกตั้งแต่ตอนเช็คอินเลยค่ะ

เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์

ที่อยู่ : ตำบล เกาะเทโพ อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี 61000

Tel : 081 870 4066

FB : เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์

4. ร้านน้ำเต้าหู้ไซ้จันทร์

ช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ของทริปวันแรก เราจะชวนทุกคนไปกินน้ำเต้าหู้ ขนมปังสังขยา และปาท่องโก๋อร่อยๆกันค่ะ ร้านนี้ชื่อว่า “ร้านน้ำเต้าหู้ไซ้จันทร์” เป็นร้านน้ำเต้าหู้เก่าแก่ ตัวร้านตั้งอยู่ที่วงเวียนวิทยุ ด้วยร้านเป็นร้านดังเก่าแก่ ทำให้ที่นี่จะมีลูกค้าทยอยกันมาเช็คอินอย่างไม่ขาดสาย

สำหรับเราประทับใจมากก ทุกอย่างอร่อย และราคาถูกมากกก ถูกจนตกใจว่าร้านคิดราคาให้ถูกต้องแน่ๆใช่มั้ย ใครมาอุทัยธานีเราแนะนำเลยค่ะ

ร้านน้ำเต้าหู้ไซ้จันทร์

ที่อยู่ : 133 ถนนท่าช้าง ตำบล อุทัยใหม่ อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี 61000

เปิด : 15.00-21.00 น.

Tel : 086 590 8401

FB : https://www.facebook.com/profile.php?id=100031733426222

5.Tone Café

ใครมาเที่ยวตัวเมืองเก่าของอุทัยธานี เราอยากแนะนำให้แวะ “Tone Café” คาเฟ่ขนาดเล็กที่หน้าตาน่ารักแอบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านไม้หลังเก่าติดกับถนนคนเดิน หรือ ตลาดเก่าบ้านสะแกกรัง ภายในร้านมีโต๊ะรองรับลูกค้าอยู่ไม่เยอะ ด้วยขนาดของร้านที่เป็นตัวบังคับ แต่มุมที่เราชอบมากที่สุดก็คือหน้าร้าน มุมเก๋มากก ถ่ายรูปออกมาปังมากก ชอบสุดๆค่ะ

และแน่นอนค่ะว่าเมนูเครื่องดื่มของร้านนี้อร่อยมากกก กาแฟดีเลยค่ะ และโกโก้เจ้มจ้นมากก

Tone Café

ที่อยู่ : 38 ซอย สุขเกษม ตำบล อุทัยใหม่ เมือง อุทัยธานี 61000

เปิด : 8.30-16.30 น.

Tel :  080 220 7254

FB : https://www.facebook.com/TonecafeUthaithani/

6. เจ๊โหนก ก๋วยเตี๋ยวไก่

ใครมาเที่ยวอุทัยธานี เราอยากจะชวนมากินก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านเจ๊โหนกกันค่ะ ความเด็ดของร้านนี้คือ ไก่ตุ๋นสูตร โบราณเมืองอุทัย ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นแม่ ไก่ตุ๋น คือ เนื้อละลาย อร่อยมากกเลยค่ะ ใครมาเที่ยวอุทัยธานี แนะนำว่าไม่ควรพลาดเลยค่ะ

เจ๊โหนก ก๋วยเตี๋ยวไก่

ที่อยู่ : ตรอก โรง ยา, ตำบล อุทัยใหม่ อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี

เปิด : 9.00-16.00 น.

Tel : 093 261 9226

FB : https://www.facebook.com/profile.php?id=100044996094493

7. บ้านชายเขา จุดชมวิวสวิตเซอร์แลนด์ อุทัยธานี

บ้านชายเขา เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่อยากแนะนำสำหรับคนหนีเที่ยวอุทัยธานี ด้วยวิวที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูน ทอดตัวยาว ทำให้วิวที่นี่สวยงามจนโดนเปรียบดั่งสวิตเซอร์แลนด์เลยนะ ที่นี่นอกจากจะเป็นจุดชมวิวที่ถ่ายรูปสวยแล้ว ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร ที่พัก และ จุดกางเต๊นท์ด้วยนะคะ

ใครหนีเที่ยวมาอุทัยธานีแล้วแนะนำต้องมาถ่ายรูปเช็คอินที่นี่กันหน่อย

บ้านชายเขา

ที่อยู่ :  ตำบล ทุ่งนางาม อำเภอลานสัก อุทัยธานี 61160

8. หุบป่าตาด

หุบป่าตาด ตั้งอยู่ใน ต.ทุ่งนางาม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี  ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่สวยแปลกตา เหมือนเราได้เข้าไปในหุบเขาวงกตที่ไหนสักแห่ง  หุบป่าตาด ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ เนื่องจากที่นี่มีภูมิศาสตร์ที่แปลกตาด้วยพันธุ์ไม้ โดยหุบป่าตาดมีลักษณะเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ เมื่อเราเดินผ่านโถงเข้าไป ก็จะเจอกับผืนป่าต้นตาด และพืชแปลกตา

ที่นี่มีเส้นทางศึกษาชมธรรมชาติระยะสั้นๆ เดินสบาย สองข้างทางมีพืชและหินแปลกตา เหมาะสำหรับสายถ่ายรูปมากค่ะ มุมแปลกตา เรียกยอดไลค์ได้แน่นอน ใครหนีเที่ยวอุทัยธานีต้องไม่พลาดที่นี่เลยค่ะ

หุบป่าตาด

ที่อยู่ : ตำบล ทุ่งนางาม อำเภอลานสัก อุทัยธานี 61160

เปิด : 8.30-16.30 น.

9.ฝายกั้นน้ำปางสวรรค์ 

อีกหนึ่งสถานที่สวย มุมถ่ายรูปเก๋ สำหรับทริปอุทัยธานี ที่นี่ก็คือ ฝายกั้นน้ำปางสวรรค์ ที่นี่ตั้งอยู่ใน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ที่นี่เป็นฝายกั้นน้ำของชุมชนที่สร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำและชะลอการไหลของน้ำ ซึ่งหากว่าเมื่อไหร่มีฝนตกหนักเกินความจุของฝายกั้นน้ำ ก็จะทำให้ที่นี่มีน้ำไหลเกิดเป็นม่านน้ำสวยๆ ให้นักท่องเที่ยวชอบแวะแบบเราได้มาถ่ายรูปกัน

สำหรับที่นี่ต้องบอกทุกคนก่อนว่า ต้องวัดดวงกันเลยค่ะ เพราะวันที่เรามาอาจจะไม่มีน้ำไหล หรือ เป็นน้ำไหลเอื่อยๆก็ได้นะคะ ส่วนของเราไม่แน่ใจว่าดวงดี ดวงแรง หรืออะไร เพราะวันที่เราไปคือน้ำไหลแรงมากกก มากจนเปียกกก

สำหรับการเดินทาง สามารถปักหมุด แล้วขับรถตาม google maps ได้เลยค่ะ ใครเที่ยวอุทัยธานีอยากได้รูปสวยๆ ก็ต้องลองไปวัดดวงที่นี่กันหน่อยค่ะ

ฝายกั้นน้ำปางสวรรค์

ที่อยู่ : หมู่ที่ 11 ตำบล คอกควาย อำเภอ บ้านไร่ อุทัยธานี 61140

10. ต้นไม้ยักษ์

อุทัยธานี ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีที่เที่ยว unseen เยอะมากๆอีกหนึ่งจังหวัด และอีกหนึ่ง unseen ที่เราอยากแนะนำให้คนที่หนีเที่ยวมา อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานีได้แวะมาเช็คอิน ต้นไม้ยักษ์ หรือ ต้นเซียงยักษ์ มีอายุหลายร้อยปี เป็นต้นไม้คู่ชุมชนบ้านสะนำมาเนิ่นนาน

ใครมาที่นี่นอกจากจะมีต้นไม้ยักษ์ให้เราได้ไปเห็นเป็นขวัญตา แล้วที่นี่ก็ยังมีตลาดชุมชนอีกด้วยนะคะ ในบริเวณใกล้ๆชุมชนก็มีคาเฟ่ให้เราได้แวะด้วย ใครหนีเที่ยวมาอ.บ้านไร่ แล้วต้องแวะมาทักทายคุณปู่ต้นไม้กันหน่อยค่ะ

 ต้นไม้ยักษ์

ที่อยู่ : ตำบล บ้านไร่ อำเภอบ้านไร่ อุทัยธานี 61140

หนองคาย 3 วัน 2 คืน | 13 จุดเช็คอิน

ปีนี้ (2565) เป็นปีที่เราตั้งใจว่าจะทำความรู้สึกอีสานมากขึ้น และทริปนี้หนองคาย 3 วัน 2 คืน กลายเป็นทริปอีสานที่ทำให้เรารู้ว่าอีสานเที่ยวสนุกมาก และหนองคายก็มีอะไรให้เราได้เที่ยวเยอะมาก

รีวิวนี้เราขอรวบรวมเอา 11 ชุดเช็คของการเที่ยวหนองคายของเรา เผื่อว่าใครที่กำลงจะหนีเที่ยวหนองคายอยากจะตามรอยเราไปเที่ยวหนีกัน

  1. จันทร์ผาโฮมสเตย์

สถานที่แรกที่เราอยากจะชวนทุกคนไปเช็คอินกันที่หนองคาย ที่นี่คือ จันทร์ผาโฮมสเตย์ ที่พักสไตล์แคมป์ริมน้ำโขงในอำเภอสังคม สำหรับห้องพักที่นี่มีห้องพักให้เราเลือกพักได้หลากหลายเลยค่ะ แต่ทริปนี้เราอยากแนะนำทุกคนให้ลองพัก ที่พักสไตล์รถบ้าน  Van Camper ภายในรถเราสามารถพักได้ 2 คน ไม่สามารถเสริมได้นะคะ ภายในรถมีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนเราเข้าพักโรงแรมปกติทั่วไปเลยค่ะ แต่ห้องพักที่นี่จะใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวมกันนะคะ ใครมาพักที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบาก เพราะว่านอกจากจะสบายมากแล้ว หน้าห้องพักของเราก็มองเห็นวิวแม่น้ำโขงที่สวยมากด้วย

ใครมาพักที่นี่มื้อเย็นเราแนะนำว่าต้องจัดหมูกระทะ หากทริปนี้ใครมากับเพื่อนแบบเรา สำหรับว่าเป็นอีกมื้อที่อร่อยและสนุกมากด้วยค่ะ ส่วนตอนเช้าที่พักจะมีอาหารเช้าแบบง่ายๆให้บริการด้วยนะคะ

หากใครกำลังจะหนีเที่ยวหนองคาย อยากจะไปลองเที่ยวอำเภอสังคมดูสักครั้ง เราแนะนำที่พักแนวแคมป์ริมน้ำโขง ที่นี่เลยค่ะ “จันทร์ผาโฮมสเตย์”

จันทร์ผาโฮมสเตย์

ที่อยู่ : 322 ตำบล บ้านม่วง อำเภอ สังคม หนองคาย 43160

Tel : 091 045 2493

FB : https://www.facebook.com/Chanphahomestay2561/

ทางไปจอง : https://reservation.roomscope.com/1731

2. ภูห้วยอีสัน

ภูห้วยอีสัน ตั้งอยู่ใน ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เป็นจุดพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกแบบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่นี่ยังถือเป็นจุดชมทะเลหมอกที่ขึ้นชื่อของหนองคายออีกด้วย วิว ณ จุดชมวิวนี้สวยมากเลยค่ะ เพราะนอกจากเราจะได้เห็นภูเขาสลับซับซ้อน ยังได้เห็นวิวแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้านของเราจากมุมสูงด้วยค่ะ

ใครมาพักที่อำเภอสังคมแล้ว เราอยากแนะนำให้ตื่นเช้ากันสักนิด แล้วมาเปิดประสบการณ์นั่งรถอีแต๊กของชาวบ้านขึ้นภูกันค่ะ เพราะการเดินทางไปชมทะเลหมอกที่ภูอีสันนั้น ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวนำรถส่วนตัวขึ้นไปเองนะคะ และไม่อนุญาติให้พักค้างคืนบนภูด้วยค่ะ โดยวิธีการเดินทาง เราจะต้องมาขึ้นรถอีแต๊กที่จุดขึ้นรถของชาวบ้าน ณ วัดแก้วเสด็จชัยมงคล ด้านหน้าวัดมีป้ายเขียนว่า รถขึ้นจุดชมวิว ค่สบริการมีทั้งราคาแบบแชร์รถกับคนอื่น หรือราคาเหมาสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไม่เกิน 5 คน ราคาเหมา 400 บาท โดยระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ด้วยทางที่ชันและขรุขระ ต้องใช้ชาวบ้านที่ชำนาญทางเท่านั้นจริงๆค่ะ

ภูห้วยอีสัน

ที่อยู่ : ตำบล บ้านม่วง อำเภอ สังคม หนองคาย 43160

3.วัดถ้ำเขาคีรีบรรพต

ใครเป็นสายบุญ หรือสายญาณพญานาค หนีเที่ยวอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เราอยากจะชวนเข้าวัดไปทำบุญ และ เที่ยวชมเมืองทองแดงโบราณกันที่ วัดถ้ำเขาคีรีบรรพต ที่วัดแห่งนี้ตอนนี้กำลังสร้างวิหารอยู่ค่ะ พร้อมยังเป็นสถานที่ปลีกวิเวกวิปัสสนา ประดิษฐานพระพุทธรูป รวมถึงรูปเคารพต่างๆ ที่นี่ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคที่มีนามว่า องค์ดำแสนสิริจันทรา หนึ่งในนาคาธิบดี หากใครเป็นสายเที่ยวก็ไม่อยากให้พลาดเหมือนกันค่ะ เพราะวัดแห่งนี้อยู่ในทำเลที่เราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำของได้สวยมากอีกมุมหนึ่งเลยค่ะ

วัดเขาคีรีบรรพต

ที่อยู่ : บ้าน ภูเขาทอง, ตำบล บ้านม่วง อำเภอ สังคม หนองคาย 43160

4. สกายวอล์ควัดผาตากเสื้อ

วัดผาตากเสื้อ ตั้งอยู่ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย วัดแห่งนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ปฏิบัติธรรม แต่ที่นี่ยังเป็ยสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย เพราะด้วยทำเลของวัดที่อยู่บนยอดเขาสูง ทำให้วัดแห่งนี้มีวิวที่สวยงาม และที่นี่ยังมี Skywalk แห่งแรกในประเทศไทย ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาที่วัดอย่างไม่ขาดสาย ใครมาเที่ยวอำเภอสังคมแล้ว อยากชมวิวมุมสูงสวยๆ และอยากมีรูปสวยๆไว้อวดชาวโซเชี่ยล เราแนะนำต้องมาเช็คอินที่นี่ให้ได้เลยค่ะ

วัดผาตากเสื้อ

ที่อยู่ :ตำบล ผาตั้ง อำเภอ สังคม หนองคาย 43160

5. วัดถ้ำดินเพียง

ถ้ำดินเพียง วัดถ้ำศรีมงคล  ตั้งอยู่ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ห่างจากสกายวอล์ควัดผาตากเสื้อ เพียง 5 กิโลเมตร สถานที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นวัดแล้ว ยังมีถ้ำขนาดใหญ่ที่เคยมีเณรหลงทางเข้าไป แล้วโพล่ออกมาอีกครั้งกลับกลายเป็นอยู่ประเทศเพื่อนบ้านเรา สถานที่แห่งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพญานาค ภายในถ้ำมีทางเดินแคบๆ มีน้ำอยู่ตลอดเวลา และที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขง ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำของพญานาค

ใครมาเที่ยวอำเภอสังคมแล้ว เป็นทั้งสายเที่ยวธรรมชาติ และ สายญาณพญานาค เราอยากแนะนำให้มาเช็คอินกันที่วัดถ้ำศรีมงคล หรือ ถ้ำดินเพียง ไม่เพียงที่จะได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้แล้ว เราก็ยังได้เที่ยวถ้ำชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอีกด้วยค่ะ

วัดถ้ำศรีมงคล

ที่อยู่ : ตำบล ผาตั้ง อำเภอ สังคม หนองคาย 43160

เปิด : 9.00-17.00 น.

6. Silsopa Hostel

โฮลเทล ที่เหมือนเราได้ไปนอนอยู่ในบ้านศิลปินระดับโลก ที่นี่คือ ศิลป์โสภา (Silsopa Hostel) ตั้งอยู่ในตัวเมืองหนองคาย ใกล้กับตลาดท่าเสด็จ ที่พักแห่งนี้อยู่ในบ้านไม้เก่าสไตล์โคโรเนียลสีขาวอายุกว่า 50 ปีให้กลายมาเป็นแกลอรี่ที่รวบรวมงานศิลปะของศิลปินต่างๆ และเปิดเป็นที่พักให้เราสามารถเข้าพักได้ค่ะ

ทริปนี้เรามาพักกันทั้งหมด 3 คนค่ะ เลยเลือกห้องใหญ่หน่อยค่ะ โดยห้องนี้สามารถพักได้สูงสุดถึง 6 คน และห้องนี้มีห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องเลยด้วยค่ะ ภายในห้องเราสวยมากเลยค่ะ ห้องเรามี 2 ชั้น มีทั้งหมด 3 เตียง ใครมาเป็นกลุ่มเป็นแก๊งแบบเราพักห้องนี้สนุกเลยค่ะ

Silsapa Hostel

ที่อยู่ : 897/1 ในเมือง เมือง หนองคาย 43000

Tel : 082 375 4598

FB : https://www.facebook.com/Silsopa

7.ลานพญานาคคู่ 

ลานพญานาคคู่ แลนด์มาร์คของเมืองหนองคาย ตั้งอยู่หน้าวัดลำดวน ริมแม่น้ำโขง ซึ่งลานพญานาคแห่งนี้อยู่ติดกับตลาดท่าเสด็จ เป็นลานวัฒนธรรมที่ใช้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ หากใครนอนตัวเมืองหนองคาย เราอยากแนะนำให้ไปเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ หรือจะมองหาหมูกระทะเป็นมื้อเย็นก็มีหลากหลายร้านให้เลือกเลยค่ะ

ลานพญานาคคู่

ที่อยู่ : ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย หนองคาย 43000

8.พระธาตุกลางน้ำ

พระธาตุกลางน้ำ หรือ พระธาตุหล้าหนอง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พระธาตุหนองคาย เดิมพระธาตุแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เมืองหนองคาย เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุโบราณ มีอายุมานานหลายร้อยปี เมื่อปี พ.ศ. 2390 ถูกกระแสน้ำกัดเซาะ จึงไปตั้งอยู่กลางลำน้ำโขง ห่างจากฝั่งไปประมาณ 200 เมตร แต่ในปัจจุบันตัวเจดีย์ไปอยู่กลางน้ำโขง โดยในช่วงเข้าพรรษาซึ่งตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงถูกขึ้นจนท่วมกับพระธาตุจนมองไม่เห็นพระธาตุ หากใครที่จะไปไหว้พระธาตุกลางน้ำแห่งนี้เราแนะนำให้ไปหลังออกพรรษา เพราะจะตรงกับฤดูแล้งพอดี ทำให้เราสามารถมองเห็นพระธาตุโผล่พ้นน้ำได้

การไปกราบสักการะพระธาตุหล้าหนองนั้น เราสามารถใช้บริการเรือที่มีบริการอยู่ที่ริมน้ำโขงได้เลยค่ะ มีทั้งราคาแบบแชร์กับผู้อื่น หรือ เราจะเหมาลำเลย ราคาประมาณ 200 บาทเท่านั้นค่ะ

พระธาตุกลางน้ำ

ที่อยู่ : ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย

9.ABC.D cafe x grill

ABC.D ย่อมาจาก A Beautiful Cup and Day  คาเฟ่สีขาวหน้าตาน่ารักที่ซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านไม้สองชั้นสไตล์บ้านพักเมื่อราว 50 ปีก่อน คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระธาตุกลางน้ำ นอกจากภายในร้านจะตกแต่งด้วยสีขาวล้วนดูสบายตาแล้ว นอกร้านบรรยากาศก็น่ารัก เหมาะแก่การจิบเครื่องดื่มในวันที่อากาศดีมากๆเลยค่ะ

ใครเป็นสายคาเฟ่ สายเครื่องดื่ม และสายเช็คอิน เราแนะนำว่าไม่ควรพลาดคาเฟ่แห่งนี้เลยนะคะ

ABC.D cafe x grill

ที่อยู่ :  298 Meechai Road Muang, หนองคาย 43000

เปิด : 9.00-19.00 น.

Tel : 099 461 6924

FB : https://www.facebook.com/abcdcafexgril/

10. แม่น้อย ขนมถ้วย

ใครมาเที่ยวหนองคาย หลังไปกราบสักการะพระธาตุกลางน้ำกันมาแล้ว อยากจะชวนทุกคนไปทานขนมถ้วยกันค่ะ ร้านนี้ชื่อว่า “แม่น้อยขนมถ้วย” เป็นร้านรถเข็นเล็กๆ ไม่มีโลเคชั่นใน google maps แต่ชี้เป้าว่าร้านอยู่ถนนเส้นเดียวกับคาเฟ่ ABC.D cafe x grill และอยากจะบอกว่าหากใครไปในช่วงบ่ายๆอาจจะไม่ได้ลองทานนะคะ เพราะขนมถ้วยร้านนี้ขายดีมาก ส่วนรถชาตินั้นอร่อยมากเลยค่ะ หวานน้อย และราคาน่ารักมากด้วย ใครหนีเที่ยวเมืองหนองคาย เราแนะนำเลยค่ะ

แม่น้อยขนมถ้วย

11.บ้านทวด (Baan Tuad) 

หนองคายเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีคาเฟ่สวยๆเยอะเลยค่ะ แต่ทริปนี้เราอยากแนะนำสายกาแฟให้ไปลองเช็คอินกันที่ บ้านทวด (Baan Tuad) คาเฟ่ที่อยู่ในตึกเก่าที่มองดูแล้วมีเสน่ห์ ดึงดูดให้สายคาเฟ่แบบเราเข้าไปเช็คอินมากค่ะ ตัวคาเฟ่ในตัวเมืองหนองคายใกล้กับตลาดท่าเสด็จ บรรยากาศภายในคาเฟ่เป็นไปอย่างสบายๆ ตัวร้านใหญ่ มีโซนให้เลือกนั่งเยอะเลยค่ะ และมุมที่เราชอบมากที่สุดก็เห็นจะเป็นแผนที่เที่ยวของจังหวัดหนองคาย ทำให้มนุษย์ชอบหนีเที่ยวแบบเรา อยากจะไปเช็คอินให้ครบเลยค่ะ และใครเป็นสายกาแฟ เป็นสายคาเฟ่ มาเที่ยวหนองคาย เราแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่นี่เด็ดขาดเลยค่ะ

บ้านทวด (Baan Tuad) 

ที่อยู่ : 026-480 Near Wat Sri Muang, Nai Mueang, อำเภอเมืองหนองคาย หนองคาย 43000

เปิด : จันทรร์ – ศุกร์ เวลา 8.00-17.00 น. เสาร์ – อาทิตย์ 8.00-18.00 น.

Tel : 091 492 6969

FB : https://www.facebook.com/BannThuad/

12. กาแฟเวียด

หากใครหนีเที่ยวมาหนองคายแล้ว หนึ่งในร้านอาหารที่เราอยากแนะนำ ร้านนี้คือ “กาแฟเวียด” ร้านกาแฟและร้านอาหารสไตล์เวียดนาม เมนูเครื่องและอาหารที่นี่จะเป็นสไตล์เวียดนามทั้งหมด รสชาติอาหารอร่อยมาก สมกับเป็นร้านดังของหนองคายเลยค่ะ ใครหนีเที่ยวมาหนองคายแล้วแนะนำที่นี่เลยค่ะ

กาแฟเวียด

ที่อยู่ : ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย หนองคาย 43000

เปิด : 8.00-18.00 น.

Tel : 085 824 2356

FB : https://www.facebook.com/CaPheVietShop/

13. พระธาตุบังพวน

ก่อนจะบอกลาหนองคายกัน เราอยากจะชวนมาสักการะ พระธาตุบังพวน พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย ที่ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุบังพวน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวหนองคาย ต้องมากราบสักการะองค์พระธาตุบังพวนอันศักดิ์สิทธิ์ และที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องกราบไหว้องค์พญานาคมุจลินท์ ในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสายบุญ และสายญาณพญานาค หากใครได้มาหนองคายแล้วไม่ควรพลาดเลยค่ะ

วัดพระธาตุบังพวน

ที่อยู่ : ตำบล พระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย หนองคาย 43100